Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 กรกฎาคม 2549
"จักรมณฑ์"ชี้เป้าลงทุนปีนี้วูบ50%หดเหลือ4แสนล.             
 


   
search resources

จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช
Investment




"จักรมณฑ์" มองเป้าหมายการลงทุนผ่านบีโอไอปีนี้เหลือแค่ครึ่งเดียวจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 7-8 แสนล้านบาทโดยหดเหลือแค่ไม่เกิน 4 แสนล้านบาท หลังครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.)ขอรับส่งเสริมฯแค่ 1.8 แสนล้านบาทต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 53% ยันตัวเลขดังกล่าวไม่เลวร้ายเหตุปี 2548 มีโครงการขนาดใหญ่เข้ามามากแล้วทำให้ที่เหลือเป็นการลงทุนขนาดเล็ก ส่วนหอการค้าไทยประเมินเศรษฐกิจปีนี้หืดจับ คาดขยายตัว 3.8-4.1% เหตุส่งออกชะงัก ขาดดุลการค้าเพิ่ม และยังมีแนวโน้มขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอีก

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนครึ่งแรกของปี 2549 ว่ามีมูลค่า 183,000 ล้านบาทลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 53% เนื่องจากในปี 2548 โครงการใหญ่ๆ ได้เข้ามาลงทุนไปเกือบหมดแล้วทั้งกิจการโรงถลุงเหล็กกิจ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ กิจการพลังงานไฟฟ้าซึ่งรวมแล้วมีมูลค่าถึงแสนล้านบาท ดังนั้นปีนี้คาดว่าการลงทุนจะมีการขอรับการส่งเสริมผ่านบีโอไอไม่เกิน 4 แสนล้านบาท

" ลงทุนครึ่งปีแรกอยู่ในระดับ 2 แสนล้านบาท ครึ่งหลังก็น่าจะอยู่ในระดับนี้แต่อาจจะต่ำกว่าก็ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของนักลงทุนด้วยภาพรวมก็เลยคิดว่าน่าจะอยู่ในระดับไม่เกิน 4 แสนล้านบาท แต่ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าวก็ไม่ได้ผิดปกติอะไรเพราะเราต้องยอมรับว่าปีที่แล้วที่โตมากนั้นเป็นการลงทุนขนาดใหญ่มากๆ เข้ามาแต่ปีนี้จะเป็นโครงการลงทุนต่อเนื่องที่ใช้เงินไม่มาก"นายจักรมณฑ์กล่าว

สำหรับดัชนีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมครึ่งปีนี้ขยายตัว 7.5% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ขยายตัว 3.7% คาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมของภาคอุตสาหกรรมหรือ GDP ภาคอุตสาหกรรมทั้งปีจะขยายตัวที่ 5.5-6% จากฐานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP อยู่ที่ระดับ 4.1-4.8% อย่างไรก็ตามปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตามในครึ่งปีหลังคือแรงซื้อในประเทศว่าจะมีทิศทางชะลอตัวมากน้อยเพียงใด และระดับราคาน้ำมันที่คาดว่าจะทรงตัวระดับสูง

นายจักรมณฑ์กล่าวว่า จากการติดตามอัตราการว่างงานที่ไม่ได้ปรับลดลงมากนัก และการผลิตของอุตสาหกรรมยังมีอยู่ต่อเนื่องเพราะการส่งออกยังขยายตัวดีอยู่จนทำให้บางอุตสาหกรรมขาดแคลนแรงงานด้วยซ้ำไปนั้นจึงยังมองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะยังคงเติบโตไปได้อย่างไม่มีปัญหาและคงจะไม่ถึงขั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเช่นเดียวกับปี 2540 เพราะในปีนั้นเกิดจากการที่เงินไหลออกนอกประเทศมากเพราะการกู้เงินที่เกินตัวของเอกชนไทย

นางหิรัญญา สุจินัย รองเลขาธิการบีโอไอกล่าวว่า บอร์ดบีโอไอเร็วๆนี้น่าจะมีการพิจารณาสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมอื่นๆ นอกเหนือจากบีโอไอหลังจากที่ก่อนหน้านี้บอร์ดได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ไปพิจารณาสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากหน่วยงานอื่นๆ เพราะลำพังจากบีโอไอค่อนไม่จูงใจนักลงทุนแล้วซึ่งหากมาตรการดังกล่าวคลอดได้ก็จะส่งผลให้บีโอไอดึงดูการลงทุนได้เพิ่มขึ้น

มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ทางนายพินิจ จารุสมบัติ ช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการตั้งเป้าหมายการลงทุนของบีโอไอไว้ในปี 2548 สูงถึง 7 แสนล้านบาทซึ่งปรากฏว่ามีการนำโครงการโรงถลุงเหล็กโซวกังจากจีนเข้าไปรวมถึงแสนล้านบาท ต่อมานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เข้ามาเป็นประธานบอร์ดบีโอไอก็ได้ระบุที่จะดันเป้าส่งเสริมการลงทุนบีโอไอปีนี้อีกถึง 7-8 แสนล้านบาท

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย( ส.อ.ท.) กล่าวว่า การสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย เดือนพฤษภาคมจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 521 ตัวอย่าง ครอบคลุม 35 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงเล็กน้อย อยู่ที่ระดับ 94.3 จาก 94.5 ในเดือนเมษายน โดยค่าดัชนีที่ได้มีค่าต่ำกว่า 100 เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน นับจากเดือนเมษายน แสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ไม่ดี

" เดือนพฤษภาคม ผู้ประกอบการยังคงได้รับผลกระทบจากปัจจัยด้านราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลทำให้ภาระต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นตาม ขณะที่ผู้ประกอบการไม่สามารถเพิ่มราคาสินค้าได้ เพราะภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในแต่ละอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องสถานการณ์ความไม่ชัดเจนทางการเมือง ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการเช่นกัน"นายสันติกล่าว

หอการค้าไทยประเมินศก.ปีนี้โต3.8-4.1%

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ฯ ได้คาดการณ์ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยปี 2549 โดยไทยจะส่งออกได้ มูลค่าประมาณ 1.25 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 13.07% และนำเข้ามูลค่า 1.32 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 11.69% และจะขาดดุลการค้ามูลค่า 6,481 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เมื่อหักลบกับตัวเลขการท่องเที่ยวไทยที่คาดว่าจะมีรายได้จากนักท่องเที่ยวจำนวน 13.35 ล้านคน รายได้ประมาณ 1.22 หมื่นล้านหรียญสหรัฐ จะทำให้ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้ประมาณ 2,190 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ระดับ 3.8-4.1%

สาเหตุที่ทำให้การส่งออกขยายตัวไม่ได้ตามเป้าหมาย เพราะการส่งออกครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัวลงเหลือแค่ 9.87% จากครึ่งปีแรกขยายตัว 16.73% จากปัจจัยต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง โดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ในการส่งออกสินค้าไทย คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะขยายตัวเพียง 3.3% ลดลงจากปี 2548 ที่ขยายตัว 3.5% ทิศทางระดับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลให้การผลิตและการขนส่งปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยปีนี้คาดว่าระดับราคาน้ำมันทั้งปีจะอยู่ที่ 69.98 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 27.89% จากปี 2548 ราคาน้ำมันเฉลี่ย 54.72 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

นอกจากนี้ ทิศทางราคาสินค้าของโลกในปีนี้ จะปรับตัวสูงขึ้น 20.9% จากปี 2548 ที่สูงขึ้นเพียง 4.1% แบ่งเป็นสินค้าอุตสาหกรรมราคาสูงขึ้น 41.4% สินค้าอาหารและเครื่องดื่มราคาสูงขึ้น 4.0% ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศ ส่งผลให้การบริโภคทั่วโลกชะลอตัวลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยมีทิศทางสูงขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาไทยต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางของสหรัฐ เพื่อป้องกันเงินทุนไหลออก ทำให้เพิ่มภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และกระทบต่อการลงทุนภายในประเทศ การแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาท ส่งผลให้ความได้เปรียบทางด้านราคาสินค้าไทยน้อยลง คาดว่าเงินบาททั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 38.50 บาท/สหรัฐ

"ปัจจัยที่น่าห่วงต่อเศรษฐกิจไทยมากสุด คือ ปัญหาการเมือง ได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอมีแค่ 1.28 แสนล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมากถึง 3.46 แสนล้านบาท หรือลดลง 62.89% นอกจากนี้ การเมืองยังได้กระทบให้ต้องเลื่อนลงนามเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นออกไป และการชะงักของการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ ด้วย ซึ่งทั้งหมดส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกให้ลดลงตาม เนื่องจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศไม่มีใครกล้าวางแผนการตลาด เพราะไม่แน่ใจปัญหาทางการเมืองที่ไม่มีความชัดเจนใดๆ เลย"นายอัทธ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะในการช่วยเหลือเศรษฐกิจในขณะนี้ คือ ไม่ต้องการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศแล้ว เพราะจะเป็นภาระให้กับผู้ประกอบการ ขณะที่เงินเฟ้อปีนี้คาดว่าจะอยู่ระดับ 5%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us