Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2538








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2538
ชนชั้น "รายย่อย"มนุษย์ทองคำแห่งทศวรรษ 2000             
 


   
search resources

จอแจจัง
Commercial and business




เจ้าของร้านค้าย่อยที่เติบโตอยู่มากมายในตลาดค้าปลีกเมืองไทย ดูจะเป็นกลุ่มยัปปี้รุ่นล่าสุดขนาดแท้ที่มีงานและการใช้ชีวิตที่เป็นสุขกับอาชีพอิสระในฐานะเจ้าของกิจการส่วนตัวเล็กๆ พร้อมกับอุปกรณ์การดำเนินชีวิตตามสูตรของยัปปี้ที่ครบครัน ตั้งแต่ขับรถส่วนตัว พกเครื่องมือสื่อสาร ใช้เครดิตการ์ด เที่ยวคลับ ดื่มโคล่า พักคอนโด ฯลฯ

มาบุญครอง ซึ่งเป็นแหล่งเติบโตอย่างมากของกลุ่มร้านค้าย่อย ผู้ค้าส่วนใหญ่มีด้วยกันหลายประเภท ตั้งแต่ปากกัดตีนถีบมาด้วยตัวเองไต่เต้าจากการขายของตามแผง แบกะดิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องอดทนและอดมากกว่าจะมีวันนี้

อีกกลุ่มที่ใหญ่ไม่แพ้กัน และมักจะเป็นเจ้าของร้านใหญ่ๆ ก็คือกลุ่มลูกคนรวย ซึ่งที่บ้านมีฐานะและทุนสำรองให้เข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้ แทนการเรียนหนังสือที่ไม่ค่อยเป็นที่พิสมัย

"ลูกคนรวยกลุ่มนี้ มีทั้งทำตัวเป็นพ่อค้าคนกลางชอบเที่ยวต่างประเทศ พอกลับก็หิ้วของเข้ามาขายหารายได้ให้ตัวเองแต่ไม่เปิดร้าน บางคนก็ทำเป็นหลักแหล่ง นอกจากกลุ่มนี้แล้วกลุ่มพ่อค้าที่รวมตัวกันค่อนข้างใหญ่ก็เป็นกลุ่มคนใต้ ซึ่งชอบอาชีพอิสระและหันมาทำการค้า และเป็นกลุ่มที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจดี คนกลุ่มนี้แม้จะมีรายได้ดี มีอำนาจการใช้จ่ายสูงแต่ก็ใช้เงินเป็น ไม่ฟุ่มเฟือย จะเที่ยวผับ เที่ยวเธคบ้างก็จะพาเด็กในร้านไปเลี้ยง" เจ้าของร้านรายหนึ่งในมาบุญครองเล่าให้ฟังถึงพฤติกรรมของร้านค้าย่อยบางกลุ่ม

อีกกลุ่มก็จะเป็นกลุ่มที่อยากหารายได้เพิ่มเติมพิเศษระหว่างเรียนหรือทำงานประจำ ขอทุนพ่อแม่มาเปิดร้านว่างจากงานหรือการเรียนก็มาดูแลร้าน บางรายเรียนจบมาก็มาคุมร้านอย่างเดียว

เหล่านี้คือตัวอย่างที่มาของกลุ่มเจ้าของร้านค้าย่อย ซึ่งยังเป็นอาชีพที่อีกหลายคนยังอยากจะเข้ามาเมื่อมีโอกาสและความพร้อม

หมี่ จุ๊บ และเมี่ยง สามพี่น้องที่มีความเห็นตรงกันที่อยากจะมีอาชีพอิสระตัดสินใจดำเนินกิจการร้านขายเสื้อผ้าครั้งแรกเมื่อประมาณ 7 ปีก่อนโดยเปิดร้านที่วิกตอรี่ย่านสามเหลี่ยมดินแดงด้วยเงินลงทุนที่ยืมมาจากพ่อแม่ 40,000 บาท ทำได้ไม่นานห้างหยุดกิจการก็เลยต้องเลิกตามแม้ที่ผ่านมาจะมีรายได้พออยู่ได้และที่นี่ก็เป็นที่กำเนิดของชื่อ "จอแจจัง" ที่ขยายสาขากว่า 4 ห้องในย่านสยามสแควร์

"ฐานะทางบ้านของพวกเราก็พอมี ไม่ได้เดือดร้อน ที่มาทำตรงนี้ก็เริ่มทำแบบพอดีกับตัว" หนึ่งในสามกล่าว

คงจะจริงที่ทั้งสามไม่ได้เดือดร้อนกับรายได้ว่าจะมีเงินเท่าไร เพราะยังมีอารมณ์ขันที่จะตั้งชื่อร้านประชดห้างที่แสนเงียบว่า "จอแจจัง" ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาถึงทุกวันนี้

จุ๊บเล่าว่าเข้ามาทำอาชีพนี้เต็มตัวตั้งแต่เรียนจบ เริ่มจากการเข้าไปคลุกคลีกับร้านค้าเสื้อผ้า ดูวิธีการจัดการแล้วก็มาคิดกันว่าเราน่าจะทำกันได้ และโดยพื้นฐานก็รู้จักการค้ามาจากพ่อแม่ซึ่งมีอาชีพค้าขายมาบ้าง จึงเริ่มทำกันเองตั้งแต่หาซื้อผ้าเหมาล็อต ออกแบบจ้างคนเย็บ ขนส่ง ค่อยๆ เรียนรู้เพิ่มเติม ทุกอย่างใช้จ่ายเป็นเงินสดและทำโดยช่วยกัน 3 คน ส่วนหมี่ และเมี่ยง เคยทำงานประจำกันมาก่อนจะออกมาทำอาชีพนี้เต็มตัว

"ที่ไม่ใช้เครดิต เพราะไม่อยากให้งบบานปลายทำเท่าที่พอทำได้ ทุกอย่างจะเคลียร์ด้วยเงินสด การเพิ่มลดสินค้าตามภาวะตลาดก็จะทำได้เร็วเพราะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเรา ซึ่งจะรู้ว่าภาวะการค้าเป็นอย่างไรช่วงไหนขายดีหรือไม่ดีอย่างตอนนี้จะมีสินค้าออกใหม่ทุกอาทิตย์" หมี่เล่าถึงการทำงาน

การดำเนินชีวิตของทั้งสามคนเป็นไปอย่างอิสระตามอาชีพ เช้าตื่นนอนได้ตามสะดวกเลิกงานตามความพอใจ

"ปกติจะตื่นประมาณ 9 โมงครึ่งจากบ้านที่นนทบุรีก็จะมาเปิดร้านเบื่อก็เดินชอปปิ้งใกล้ๆ จะไปไหนก็ไปได้ ตอนเย็นปิดกลับบ้านก็พักผ่อน ไม่ค่อยเที่ยวเพราะเที่ยวมามากแล้วสมัยเรียน ไปต่างประเทศบ้างก็ปีละ 2 ครั้ง ไปใกล้ๆ อย่างฮ่องกง เพราะยังมีภาระต้องดูแลร้านไปไหนนานก็ไม่ดี ส่วนการใช้เงินก็ไม่ฟุ่มเฟือย ใช้น้อยกินข้าวก็กินข้าวแกง เสื้อผ้าก็ใส่ของที่ตัดขายเอง มีพกบัตรเพราะกลัวใช้เงินเพลิน บางร้านอาจจะทำเพราะต้องใช้เงินหมุน แต่เราอยากทำแบบสบายไปตามกำลังที่มี" นี่คือการดำเนินชีวิตคร่าวๆ ของทั้งสาม ซึ่งใช้ชีวิตและทำงานร่วมกันตลอด

ธุรกิจของ "จอแจจัง" หลังจากเลิกร้านที่วิกตอรี่ ก็หันไปจับพื้นที่ที่สวนจตุจักรขายเสื้อกางเกง ทั้งปลีกและส่งโดยจ่ายค่าเช่าเดือนละ 3,500 บาท ซึ่งเป็นที่ที่ทำรายได้ดีมาก เป็นช่วงที่สนุกสนานกับงานที่สุด มาตอนหลังก็ต้องเลิกกิจการที่นี่ไปประมาณไม่ถึงปีที่ผ่านมา เพราะเริ่มมีปัญหาผลิตสินค้าไม่ทันมีช่างเย็บรายเดียวและไม่มีเวลาดูแล เพราะช่วง 3 ปีหลังจอแจจังขยายมาเปิดร้านเพิ่มที่โบนันซ่ามอลล์ อี 2 ล็อก

การมีช่างเย็บรายเดียวไม่ใช่เพราะไม่มีคนรับงาน ตรงกันข้ามมีคนขอรับงานเยอะ แต่ต้องเลือกที่ฝีมือดี และหากเกิดปัญหาช่างเย็บจะออกไปเปิดร้านขายเองคิดว่าคงสู้เราไม่ได้ เพราะจะขาดความชำนาญในเรื่องการออกแบบ และประสบการณ์ด้านการขาย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ร้านอยู่รอด

ปัจจุบันจอแจจังมีร้านของตนเองอยู่ 4 ล็อก ที่โบนันซ่ามอลล์ 2 ล็อก บริเวณหัวมุมชั้นสอง และร้านที่รับช่วงสินค้าไปขายอีกประมาณ 3 ล็อก เป็นร้านขายสินค้าราคาถูกเน้นขายปริมาณซึ่งเปิดมาได้ 3 ปี โดยหมี่เล่าว่าปีแรกภาวะการค้าก็ยังไม่บูม มาบูมตอนเข้าปีที่สอง พอปีที่ 3 กลับไปเหมือนปีแรก ปีต่อไปก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีภาวะไม่ดี จึงขยายสาขาเพิ่มมาที่ศูนย์การค้าบริเวณโรงหนังลิโดที่สร้างใหม่หลังจากถูกไฟไหม้ไปเมื่อปีที่แล้ว และมีแนวโน้มว่าจะบูมไม่แพ้มาบุญครอง

"ที่ลิโดค่าเช่าพื้นที่อาจจะดูแพงกว่าแต่เฉลี่ยแล้วก็พอกับโบนันซ่าเพราะพื้นที่มากกว่า ร้านแรกที่ได้ที่ลิโดก็เลยลงเสื้อผู้ชายเพื่อจะได้ไม่ซ้ำกับที่โบนันซ่า พร้อมกับอัพเกรดสินค้าขึ้นมาอีกระดับเพื่อให้เข้ากับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เดินบริเวณนี้ พอได้ร้านที่สองก็เลยต้องลงเสื้อผ้าผู้หญิงซึ่งก็เป็นอีกเกรดกับเสื้อผู้หญิงที่ขายอยู่ที่โบนันซ่า"

ร้านที่โบนันซ่า จ้างเด็ก 2 คนมาดูแลร้าน ส่วนที่ลิโดก็ดูแลเอง ช่วยกันดูให้น้องชายมาช่วยขาย จากที่ดูเองทำให้รู้ว่าที่นี่กำลังเป็นที่นิยม การลงทุนร้านเริ่มแรกก็ต้องใช้เงินหลายแสน ผิดกับเมื่อก่อนที่ใช้เพียงไม่กี่หมื่น ถ้าทุกอย่างอยู่ตัวอีกไม่กี่ปีก็คงหยุดพัก ให้เด็กขายซึ่งคิดว่ารายได้ก็ต่างจากเราขายเอง แล้วก็จะเริ่มเที่ยวกัน

อย่างไรก็ดี ทั้งสามคนพอใจแล้วกับสิ่งที่ได้ทำมา และไม่คิดจะทำอะไรที่เกินกำลังจะดูแลได้ถึง และมีแผนจะหยุดพักแล้วเที่ยว เป็นการให้รางวัลแก่ชีวิตแม้ทั้งสามจะอยู่ในวัยเพียงไม่เกิน 30 ปี ซึ่งเป็นวัยที่อีกหลายคนยังไม่มีโอกาสได้เริ่มต้น อย่างนี้แล้วจะไม่ให้อาชีพนี้เป็นอาชีพที่น่าใฝ่ฝันหาของคนนอกวงการอีกหรือ

ตัวอย่างพัฒนาการของร้านค้าย่อยที่ประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องสวยงามที่น่ายินดี

ในทางกลับกัน หากสิ่งที่คิดไว้ไม่บรรลุเป้าหมาย สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดก็คือการต่อสู้เพื่อยืนบนลำแข้งตัวเองให้ได้ในฐานะที่ก้าวลงสนามมาแล้ว ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าการต่อส ู้เพื่อความอยู่รอดของร้านค้าตัวเองเป็นเรื่องยาก และมีตัวอย่างให้พบเห็นได้มากแล้วแต่ถ้าต้องแบกรับสุขหรือทุกข์ของเพื่อนร่วมอาชีพด้วยแล้ว น้อยคนคงจะตอบได้ว่ามันเป็นอย่างไร

เสริมศักดิ์ จันทร์ศิริ ประธานชมรมร้านค้าย่อยเซียร์รังสิต คงเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยคนที่สามารถอธิบายจุดยืนของตัวเองในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี

หลังจากสู้ชีวิตกับอาชีพต่างๆ มาหลายอย่าง นับแต่นักข่าว ซื้อขายรถเก่า จนมาลงเอยที่งานร้านค้าย่อย ที่เสริมศักดิ์หรือ "พี่ตุ้ย" ของผู้สนิทสนมพบว่าจะลงเอยกับชีวิตของตัวเองมากที่สุด เพราะมีความเป็นอิสระ แถมวาดหวังไว้ว่าจะมีรายได้ดีพอสมควร แต่การณ์ก็กลับตรงกันข้าม

ด้วยภาพบรรเจิดที่ผู้บริหารศูนย์วาดไว้ให้เสริมศักดิ์ได้เคลิบเคลิ้ม ทำให้เขาได้จับจองร้านค้าย่อยใน 2 ทำเลชานเมืองคือ หลักสี่พลาซ่า และเซียร์รังสิต เขาทุ่มเทเม็ดเงินไปเกือบครึ่งหนึ่งที่เขามีอยู่ ทางหลักสี่พลาซ่าแม้ว่าจะกระท่อนกระแท่นเรื่องลูกค้าไปบ้าง แต่ก็ยังพอไปได้ แต่ที่เซียร์รังสิตทำเขาเจ็บช้ำมาก และด้วยวิสัยของผู้รักความเป็นธรรมมาแต่แรกบวกกับบุคลิกชอบช่วยเหลือผู้อื่นและกล้าแสดงออก ทำให้เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานชมรมร้านค้าย่อยเซียร์รังสิตไปโดยปริยาย

"ทางผู้บริหารโฆษณาเสียสวยหรูแต่แรกว่า จะมีทั้งโรงภาพยนตร์ สวนสนุก ศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นตัวดึงคนได้เป็นอย่างดี แต่พออยู่ไปๆ ก็ไม่เห็นความคืบหน้าแต่อย่างใด ทำให้ร้านค้าย่อยโดยเฉพาะชั้น 4 ที่ผมอยู่ลำบากมากอย่างบางวันนผมขายโค้กได้เพียงกระป๋องเดียวก็เคยมี เราจึงได้มีการรวมตัวกันในกลุ่มร้านค้า ซึ่งใครไม่เห็นด้วยก็ไม่ว่าอะไร เพียงแต่ว่าถ้ามีเรื่องต้องต่อรองกับทางห้างทางชมรมจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย"

จนถึงวันนี้ เสริมศักดิ์ได้เจรจากับทางผู้บริหารศูนย์เสร็จสิ้นไประดับหนึ่งและได้หยุดการเคลื่อนไหวของชมรมไว้ชั่วครู่ เพื่อรอฟังผลต่อไปว่าภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีอะไรคืบหน้าหรือไม่ซึ่งหากไม่มีทางเสริมศักดิ์ก็พร้อมเดินหน้าเจรจาไม่หยุด

นี่ก็เป็นอีกบุคลิกหนึ่งของเจ้าของร้านค้าย่อยในโลกาภิวัตน์ที่ยังต้องต่อสู้ต่อไป

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us