กองทุนอสังหาฯในเครือเลห์แมนบราเธอร์สฮุบแกรนด์ แอสเสทฯ หลังใส่ทุนใหม่เข้ามาเพิ่มกว่า 1,200 ล้านบาท หนุนฐานะแข็งแกร่ง "พงษ์พันธ์" ชี้ด้วยศักยภาพของโครงการโรงแรมในเขตสุขุมวิท คอนโดมิเนียม รีสอร์ท พร้อมเดินหน้าขยายโครงการใหม่จากเม็ดเงินใหม่ ยันโครงสร้างองค์กรไม่ปรับเปลี่ยน
นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานกรรมการและกรรมการ บริษัท แกรนด์ แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND เปิดเผยถึงเรื่องของการขายหุ้นเพิ่มทุน 250 ล้านหุ้นว่า ในช่วงที่ผ่านมานั้นได้มีกลุ่มการเงินและกลุ่มผู้ลงทุนหลายกลุ่มเสนอเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ และในที่สุดคณะกรรมการของบริษัทฯ ได้ตกลงขายหุ้นเพิ่มทุนโดยเฉพาะเจาะจงให้แก่บริษัทต่างชาติชื่อ Giant Mauritius Holdings ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มการเงินขนาดใหญ่ของโลกคือเลห์แมนบราเธอร์ส(Lehman Brothers) โดยบริษัทได้ขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 250 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 4.85 บาท ซึ่งทำให้บริษัทได้รับเงินจากเพิ่มทุนในครั้งนี้ประมาณ 1,212 ล้านบาท สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการขายหุ้นในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้มาใช้เป็นเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อขยายโครงการในอนาคตของบริษัท
นายพงษ์พันธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเกณฑ์ของการกำหนดราคาขายนั้นจะต้องไม่ต่ำกว่า 90% ของราคาตลาดเฉลี่ยย้อนหลัง 15 วันทำการ เท่ากับบริษัทจะต้องขายหุ้นในราคาไม่ต่ำกว่า 3.81 บาท ต่อหุ้น แต่ทางบริษัทสามารถขายได้ในราคาหุ้นละ 4.85 บาท ถือได้ว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงในสถานการณ์เศรษฐกิจช่วงนี้ และเป็นผลดีมากสำหรับบริษัท
สาเหตุที่ทางกองทุนเลห์แมนบราเธอร์สเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัท เนื่องมาจากทางกองทุนฯดังกล่าว เล็งเห็นว่าบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งบริษัทมีโครงการโรงแรมที่อยู่ในทำเลที่ดีทั้ง 5 โรงแรม ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดฯและรีสอร์ทจำนวน 4 โครงการ ซึ่งโครงการดังกล่าวการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ โดยมียอดขายที่ดี ดังนั้นจากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ทางกองทุนฯและกลุ่มผู้ลงทุนจากต่างประเทศหลายราย สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทได้ขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ ส่งผลให้บริษัทมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 1,251 ล้านบาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 1,212 ล้านบาท
“ หลังจากการที่กองทุนเลห์แมนบราเธอร์สเข้ามาถือหุ้นของเราแล้ว ก็จะช่วยเพิ่มศักพภาพการดำเนินธุรกิจของเราได้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขยายกิจการด้านโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงเรื่องของฐานการเงินของเราก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น”นายพงษ์พันธ์กล่าว
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยทางกองทุนฯเข้ามาถือหุ้นประมาณ 49% ซึ่งถือว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทในปัจจุบัน ส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับรองลงมา คือ นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ จะถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 17% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ที่ 24% และนายสุรเดช นฤหล้า
ในเรื่องของนโยบายการดำเนินธุรกิจนั้น ทางบริษัทจะไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรแต่อย่างใดและนโยบายการบริหารงาน เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทก็มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ดังนั้น ทางบริษัทจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างแต่อย่างใด โดยตนจะดำรงตำแหน่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการบริหาร จะยังดูแลในเรื่องของการบริหารงานทั้งหมด ส่วนตำแหน่งประธานกรรมการบริหารนั้น ทางบริษัทได้แต่งตั้งให้นายไพสิฐ แก่นจันทร์ เข้ามาดำรงแทนตนนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
นายพงษ์พันธ์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมอยู่ 4 โรงแรม ส่วนโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ โครงการบูลลากูน คาดว่าจะก่อแล้วเสร็จในอีก 2 เดือนข้าวหน้า ส่วนอีก 2 โครงการ คือ โครงการรีเจ้นท์ เรสซิเดนท์ ปากซอย 13 สุขุมวิท และโครงการเดอะเซลเรสซิเดนท์ ที่พัทยา คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2550 ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังเป้ารายได้ปีนี้อยู่ที่ 4,400 ล้านบาท หรือมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 184% เมื่อเทียบกับปี 2548 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,696 ล้านบาท อย่างก็ดี บิรษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำรายได้ได้ตามเป้าที่ได้ตั้งเป้าไว้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทฯมีผลกำไรสุทธิหลังภาษี ลดลง 20.7 ล้านบาท จากไตรมาสที่ 1 ปี48 (ไตรมาสที่ 1 ปี49 มีกำไร 1.9 ล้านบาท, ไตรมาสที่ 1 ปี 48 กำไร 22.6 ล้านบาท) คิดเป็นอัตราการลดลง92% ขณะที่บริษัทมีรายได้รวมเพิ่มขึ้น182 % จาก 260.9 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 48 เพิ่มเป็น 737.1 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1 ปี 49 โดยเป็นผลมาจาก รายได้จากการประกอบกิจการโรงแรมเพิ่มขึ้น 14 % จาก 148.0 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี48 เพิ่มขึ้นเป็น 169.2 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี49 เนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา อัตราการเข้าพักและอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อห้องสูงขึ้น และมีรายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินและหน่วยในอาคารชุด เพิ่มขึ้น419% จาก 105.4 ล้านบาทในไตรมาสที่ 1 ปี48 เพิ่มขึ้นเป็น 547.3 ล้านบาทในไตรมาสที่ที่ผ่านมา
|