อินเดีย ดินแดนแห่งอารยธรรมเก่าแก่ของโลก มีพลเมืองมากกว่า 900 ล้านคน
กำลังกลายเป็นแม่เหล็กชิ้นใหญ่ ที่ดึงดูดทุนสื่อสารจากทั่วทุกมุมโลกให้หลั่งไหลเข้าในประเทศ
หลังจากนโยบายเปิดเสรีให้เอกชนเข้าไปลงทุนในกิจการโทรคมนาคม
รัฐบาลอินเดียได้เริ่มทยอยเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการโทรมนาคมประเภทต่างๆ
มาตั้งแต่ปีที่แล้ว เริ่มด้วยวิทยุติตามตัว ตามมาด้วยบริการวิทยุสื่อสารเฉพาะกลุ่ม
(ทรังค์เรดิโอ) ซึ่งอยู่ระหว่างเปิดซองประมูล ล่าสุดคือการเปิดประมูลโทรศัพท์พื้นฐาน
และโทรศัพท์มือถือ อันเป็น 2 โครงการขนาดใหญ่ที่มีกำหนดยื่นซองประมูลในวันที่
21 เมษายน 2538
ชินวัตร จัสมิน ทีเอ และยูคอม 4 ทุนสื่อสารของไทยที่กำลังตื่นตัวรับมือกับโลกไร้พรมแดน
จึงไม่พลาดกับสมรภูมิอันดุเดือดแห่งนี้
ชินวัตรได้บุกเบิกลงทุนในอินเดียตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยร่วมลงทุนกับฮิมาชาลบริษัทท้องถิ่นผู้ผลิตอุปกรณ์สื่อสารสัญญาณ
เพื่อให้บริการวิทยุติดตามตัวใน 6 เมืองของอินเดียตั้งแต่ปีที่แล้ว
อารักษ์ ชลธาร์นนท์ กรรมการผู้อำนวยการบริษัทชินวัตร อินเตอร์เนชั่นแนล
กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าภารกิจในอันดับต่อไปของชินวัตร คือการยื่นข้อเสนอเพื่อเข้าประมูลโครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล
จีเอสเอ็ม และโทรศัพท์พื้นฐาน ซึ่งเปิดรับซองประมูลในวันที่ 21 เมษายน
เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศใหญ่ การประมูลคัดเลือกผู้รับสัมปทานโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือ
รัฐบาลอินเดียจึงแบ่งพื้นที่ออกเป็น 20 เขต (Circle) ซึ่งแต่ละเขตจะมีศักยภาพในเชิงเศรษฐกิจที่แตกต่างกันไป
ดังนั้นผู้เข้าประมูลจะต้องพิจารณาว่าตนมีคุณสมบัติเหมาะสมจะเข้าประมูลในเขตพื้นที่ใดบ้าง
โดยรัฐบาลจะเลือกผู้รับสัมปทานเพียงแค่ 2 รายใน 1 เขตสำหรับโทรศัพท์มือถือ
ส่วนโทรศัพท์พื้นฐานใน 1 เขต จะเลือกเพียง 1 รายเท่านั้น ซึ่งเมื่อรวมกับผู้ให้บริการเก่าที่ให้บริการอยู่แล้วจะมีทั้งหมด
2 รายเท่ากัน
จุดสำคัญในการคัดเลือกจะพิจารณาในเรื่องประสบการณ์ในโครงการที่เข้าประมูล
ตลอดจนมูลค่าของบริษัทและคุณสมบัติของผู้เข้าประมูลนี้ว่าจะเหมาะสมกับพื้นที่ใดบ้าง
"การประมูลจะเหมือนกับสอบเอนทรานซ์ซึ่งจะต้องเลือกเป็นอันดับ และเราต้องยื่นข้อเสนอตามจำนวนเขตที่เข้าประมูล
ดังนั้นผู้เข้าประมูลต้องประเมินตัวเองมีความเหมาะสมในเขตใด" อารักษ์อธิบายถึงรายละเอียดของการประมูล
นอกจากนี้รัฐบาลได้กำหนดสัดส่วนการประมูลระหว่างนักลงทุนท้องถิ่น และต่างชาติไว้ว่า
นักลงทุนจากต่างชาติจะต้องถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% ส่วนนักลงทุนท้องถิ่นจะต้องถือหุ้นห้ามต่ำกว่า
51%
จากข้อกำหนดเหล่านี้เอง ที่ทำให้บรรดาทุนสื่อสารของไทยต่างออกมาชักชวนการสื่อสารแห่งประเทศไทย
(กสท.) และองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) เข้าร่วมวงด้วย เพราะต้องการอาศัยความเชื่อถือและประสบการณ์จาก
2 หน่วยงานนี้ในการเข้าประมูล
ในส่วนของชินวัตรนั้น ได้ใช้วิธีการตกลงกับพันธมิตร โดยชินวัตรจะเป็นแกนนำในส่วนของผู้ถือหุ้นต่างประเทศในโครงการโทรศัพท์มือถือ
ส่วนโครงการโทรศัพท์พื้นฐาน ชินวัตรจะเป็นผู้ถือหุ้นอันดับรองลงมาและจะเปิดทางให้ผู้ถือหุ้นต่างชาติรายอื่น
ที่มีประสบการณ์เป็นแกนนำในการประมูล
อารักษ์กล่าวว่าการประมูลในอินเดียครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วทุกมุมโลก
เพราะพลเมืองอินเดียมีอยู่ถึงกว่า 800 ล้านคน แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่จะเป็นคนจน
แต่จากการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้อำนาจการซื้อของประชาชนเพิ่มสูงขึ้นซึ่งหากประเมินว่าจะมีผู้มีอำนาจการซื้อเพียงแค่
10% ของพลเมืองทั้งหมด ก็นับเป็นจำนวนของลูกค้าที่เยอะมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
ที่สำคัญอินเดียมีบุคลากรที่มีความรู้มาก ทั้งด้านซอฟต์แวร์ หรือโทรคมนาคม
ในขณะที่ค่าจ้างแรงงานยังถูกมาก ทำให้การลงทุนในเรื่องของบุคลากรไม่มีปัญหาเหมือนกับประเทศอื่นๆ
จึงเป็นเหตุให้มีผู้สนใจเข้ามาลงทุนมากเป็นพิเศษ ซึ่งชินวัตรเองหวังว่าจะได้รับเลือกให้ลงทุนอย่างต่ำสัก
2 เขต
จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ยักษ์สื่อสารของไทยอีกรายที่มีความเคลื่อนไหวในการขยายธุรกิจในต่างแดนอย่างมากในช่วง
2 ปีที่ผ่านมา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จัสมินจะบุกอินเดียอย่างเต็มขั้น
ในการประมูลครั้งนี้ จัสมินได้จับมือกับบริษัทเทเรีย ประเทศสวีเดน และยังได้ชักชวนองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย
(ทศท.) ร่วมลงขันเข้าหุ้นในสัดส่วน 3 ฝ่ายรวมกัน 49% ร่วมกับบริษัทท้องถิ่นของอินเดีย
คือบริษัทพันไวด์ และบริษัทยูไนเต็ด คอมมิวนิเคชั่น ลิมิเต็ด (ยูทีแอล) ที่จะถือหุ้นในสัดส่วน
51%
จะเห็นได้ว่าจัสมินให้ความสำคัญกับการหาพันธมิตรที่ประสบการณ์ค่อนข้างมาก
นอกจากจัสมินซึ่งมีประสบการณ์ในโทรศัพท์พื้นฐาน บริษัทเทเรียก็มีประสบการณ์ในการติดตั้งโทรศัพท์มาแล้ว
6 ล้านเลขหมาย และยังรวมไปถึงทศท.ที่มีประสบการณ์ในการติดตั้งโทรศัพท์มาอย่างโชกโชน
ดร.อดิศัย โพธารามิก ได้เปิดแถลงว่าจะเลือกเข้าประมูลประมาณ 4-5 เขต ทั้งโครงการโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือ
โดยจะเน้นในเขตพื้นที่บริการระดับเอ ซึ่งเป็นเขตที่มีความต้องการใช้งานสูง
เช่นเดียวกับบริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น (ทีเอ) ยักษ์ใหญ่เจ้าของสัมปทานโทรศัพท์
2 ล้านเลขหมาย ที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในอินเดียค่อนข้างมาก โดยทีเอได้ยื่นข้อเสนอให้การสื่อสารแห่งประเทศไทย
(กสท.) ร่วมลงขันยื่นประมูลโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์มือถือ
ทั้งนี้ทีเอจะถือหุ้นร่วมกับบริษัทโทรคมนาคมจากสหรัฐอเมริกา และกสท. ทั้ง
3 ฝ่ายรวมกัน 49% และที่เหลืออีก 51% จะถือหุ้นโดยบริษัทท้องถิ่นในอินเดีย
นับเป็นเอกชนอีกรายที่ได้ยื่นข้อเสนอให้กับหน่วยงานสื่อสารของรัฐ ร่วมลงทุนในการประมูลบริการทั้ง
2 ชนิดในอินเดีย
บุญชัย เบญจรงคกุล ประธานกรรมการบริหารกลุ่มยูคอม ได้ประกาศถึงเจตนารมณ์ในการขยายธุรกิจสื่อสารในต่างแดนไว้อย่างชัดเจน
และหนึ่งในประเทศเหล่านั้นคืออินเดีย
กลุ่มยูคอมเข้าไปลงทุนในอินเดียตั้งแต่ปีที่แล้ว ด้วยการจับมือกับพันธมิตรท้องถิ่น
ให้บริการวิทยุติดตามตัว ใน 22 เมือง ซึ่งจะเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้ และได้ยื่นขอให้บริการทรังค์เรดิโอใน
10 เมือง โดยอยู่ระหว่างการรอผลการตัดสินและในการประมูล 2 โครงการ ยูคอมจึงไม่พลาดที่จะเข้าไปร่วมประมูลโทรศัพท์มือถือ
ด้วยเหตุที่ยูคอมมีความเชี่ยวชาญทางด้านระบบสื่อสารไร้สาย ทำให้ยูคอมเป็นบริษัทเดียวในไทยที่ไม่เข้าประมูลโทรศัพท์พื้นฐาน
แต่จะเลือกเฉพาะระบบไร้สายเพียงอย่างเดียว
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าคงจะรู้ผลแล้วว่าทุนสื่อสารของไทยรายใดจะมีโอกาสเข้าไปสร้างชื่อในอินเดีย
แต่ที่แน่ๆ การเปิดเสรีโทรคมนาคมของอินเดียครั้งนี้ จะทำให้เม็ดเงินการลงทุนจากไทยหลั่งไหลไปในอินเดียนับหมื่นล้านบาท
ก่อนที่เม็ดเงินเหล่านี้จะขยับขยายไปยังเวียดนาม และจีน ซึ่งถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในเวลานี้