Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2538








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2538
ไดสตาร์ร่วมทุนแดวูก้าวกระโดดของ "ทีฆคีรีกุล"             
 

 
Charts & Figures

รายได้ของบริษัท ไดสตาร์ อิเลคทริค


   
www resources

โฮมเพจ ไดสตาร์ อิเล็กทริค คอร์ปอเรชั่น

   
search resources

ไดสตาร์ อิเล็กทริค คอร์ปอเรชั่น, บมจ.
วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล
Electric




การร่วมมือกันระหว่างไดสตาร์ บริษัทของคนไทยกับยักษ์ใหญ่ "แดวู" จากเกาหลีเป็นอีกก้าวหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเฉพาะแดวูนั้นแสดงถึงทิศทางที่จะบุกไทยอย่างเต็มตัว หลังจากผู้ผลิตสินค้ารายอื่นๆ ของเกาหลีบุกไทยมาก่อนหน้านี้แล้ว

จากอดีตที่มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ตั้แต่การเปิดเป็นบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปในชื่อ "เซ็นทรัล ออดิโอ" ของตระกูล "ทีฆคีรีกุล" ปี 2525 แล้วก็เริ่มนำเข้าผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าสำเร็จรูปจากเกาหลีและสิงคโปร์มาจำหน่ายโดยติดยี่ห้อของตนเองว่า Distar

ย่างปี 2531 ว่าจ้าง บริษัทไดสตาร์อุตสาหกรรมผลิตทีวีสีเพื่อขายในประเทศ จากนั้นกิจการเริ่มเข้าที่เข้าทาง อุตสาหกรรมการผลิตทีวีสีเริ่มดีขึ้น ก็เพิ่มบทบาทตนเองมาเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อ Funai อีกยี่ห้อหนึ่งโดยที่ตลาดระดับกลางลงมาล่างซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย

สองปีต่อมาได้เข้าซื้อกิจการบริษัทแอมคอลอิเลคโทรนิคแล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น ไดสตาร์ จนปัจจุบัน จากนั้นก็ตั้งหน่วยวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ขึ้นเพื่อทำการผลิตทีวีสีและเครื่องเล่นวิดีโอเองตั้งแต่ปี 2535 โดยถือได้ว่าไดสตาร์คือผู้บุกเบิกตลาดวิดีโอแบบเล่นอย่างเดียวมาแต่ยุคนั้น

เมื่อตลาดผู้บริโภคระดับกลางลงมาล่างเติบโตสูงมากในช่วงปี 2536 ไดสตาร์ก็ได้ตั้งบริษัทไดสตาร์เชนขึ้น เพื่อทำตลาดในลักษณะเงินผ่อน และตั้งบริษัทพานาเชน เพื่อทำการจำหน่ายสินค้าของ เนชั่นแนล/พานาโซนิคในระบบเงินผ่อนอีกด้วยเมื่อต้นปี 2537 นอกจากนั้นยังตั้งบริษัท ออดิโอเชน อีกบริษัทหนึ่งเพื่อทำตลาดเครื่องเสียงนำเข้ายี่ห้อ AIWA

กล่าวได้ว่าไดสตาร์ อิเลคทริก ก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ เพราะมีสินค้าอยู่ในมือเกือบทุกชนิดแล้วไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความบันเทิงอย่างเครื่องเสียง, ทีวี, วิดีโอ หรือเทเลวิดีโอ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านตั้งแต่พัดลม, กระทะไฟฟ้า, หม้อหุงข้าว, เตาอบ, เครื่องซักผ้า, เตารีด, เครื่องทำน้ำอุ่น, เครื่องปรับอากาศ ตลอดจนถึงเครื่องดูดฝุ่น ซึ่งจะผลิตเองแทบทั้งสิ้น

อัตราการเติบโตแต่ละปีมีไม่ต่ำกว่า 25% อย่างเมื่อสิ้นปี 2536 สามารถสร้างยอดขายได้กว่า 1,000 ล้านบาท อีกทั้งสามารถนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จเมื่อต้นปี 38

แม้ว่าการเติบโตของไดสตาร์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่จากการปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าของไทยตามข้อตกลงของ GATT ซึ่งเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่ 1 มกราคมปีนี้ ทำให้ไดสตาร์ต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากสินค้านำเข้ามีราคาถูกลง แต่แม้ว่าภาษีนำเข้าชิ้นส่วนจะลดลงจากเดิม ทว่าการลดในส่วนนี้มีน้อยกว่าสินค้าสำเร็จรูปนำเข้า ฉะนั้นไดสตาร์จะอยู่นิ่งรอการเติบโตต่อไปคงเป็นไปไม่ได้แล้ว

การร่วมทุนกับแดวู อิเลคโทรนิค เพื่อตั้งบริษัทแดวูคอนซูเมอร์อิเล็กโทรนิค (ประเทศไทย) จำกัด โดยจุดประสงค์ในอันที่จะนำเทคดนโลยี, การบริหารการตลาด, การขาย, การประกอบชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนชนิดต่างๆ รวมถึงชิ้นส่วนและอะไหล่ และเป็นบริษัทตัวแทนในการวางแผนการตลาด

"พูดง่ายๆ ก็คือเรากับแดวูจะร่วมกันผลิต และทำตลาดด้วยกัน ไดสตาร์ จะเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าภายใต้เครื่องหมายแดวูแต่ผู้เดียวในประเทศไทย" สมชาย ตั้งศรีสุข รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สรุปความกับ "ผู้จัดการ"

ซึ่งการร่วมทุนกับแดวูครั้งนี้สามารถลดแรงกดดันให้กับไดสตาร์ได้อย่างมาก หลังจากรัฐบาลประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าจาก 1-30% เหลือ 0.5% แม้เป็นการทยอยลดลงไปเรื่อยๆ ในระยะ 10 ปีนับแต่บัดนี้ก็ตาม

ส่วนเหตุผลที่แดวูเลือกร่วมลงทุนกับไดสตาร์นั้น มร.เค เอช นัม ประธานกรรมการของแดวูอิเลคโทรนิค (เกาหลี) ให้เหตุผลว่า "เป็นเพราะอัตราการเติบโตและผลประกอบการ เราดูแล้วเป็นที่น่าพอใจทั้งจากที่เขาสามารถนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้เมื่อต้นปี 2538 นั่นแสดงว่าไดสตาร์มีมาตรฐานที่ดีในการดำเนินงาน และคุณภาพสินค้าเป็นที่ยอมรับของตลาด อีกทั้งช่องทางจัดจำหน่ายของเขาก็ครอบคลุมทั่วประเทศ"

สำหรับวิวัฒน์ ทีฆคีรีกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ไดสตาร์ กล่าวว่า "แดวูเขาติดอันดับ 1 ใน 3 ของบริษัทชั้นนำในเกาหลี และติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ขณะที่เราก็เป็นบริษัทซึ่งผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้เครื่องหมายไดสตาร์ที่มีอัตราการเจริญเติบโตถึงกว่า 50% คุณภาพของสินค้า, การบริหารการตลาด, การจัดจำหน่าย เรามั่นใจว่าได้มาตรฐาน และราคาของเราก็เหมาะสมกับตลาด การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการใช้ความชำนาญคนละด้านรวมกันเป็นหนึ่งเดียวให้เกิดความสำเร็จในอุตสาหกรรมการผลิต และจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าต่อไปในอนาคต"

โดยในปี 2536 ที่ผ่านมาแดวูอิเลคโทรนิคทั่วโลกสามารถทำยอดขายได้ถึง 2,479 ล้านเหรียญสหรัฐหลังจากได้ตั้งฐานการผลิตไปทั่วโลกกว่า 10 ประเทศและสำนักงานตัวแทนจำหน่ายอีก 16 ประเทศ

ฉะนั้นเกมความร่วมมือในสัดส่วนไดสตาร์ 70% แดวู 30% นี้ถือว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่ายคือ ไดสตาร์ได้เทคโนโลยีและสินค้าเข้ามาอยู่ในมืออีกยี่ห้อหนึ่ง รวมทั้งโรงงานใหม่ที่ระยองก็จะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากการถ่ายทอดเทคโนโลยีของแดวู

ส่วนแดวูก็สามารถเข้ามาเปิดช่องทางจัดจำหน่ายได้รวดเร็วขึ้น โดยอาศัยความคล่องตัวในการทำตลาด และจากตัวแทนจำหน่ายกว่า 300 แห่งทั่วประเทศของไดสตาร์ รวมถึงตัวเลขการผลิตที่ทำขึ้นได้ถึง 10,000 กว่าเครื่องต่อเดือน (ส่งออก 30%) ย่อมจะสามารถนำพาสินค้าภายใต้ยี่ห้อแดวูไปได้อย่างไม่ยากเย็น ซึ่งกลุ่มลูกค้าระดับกลางลงมาล่างยังมีช่องว่างอีกมากสำหรับแดวูหลังจากที่ไดสตาร์ทำตลาดมาบ้างแล้ว โดยราคาของแดวูที่ไดสตาร์กำหนดไว้จะอยู่ในอัตราสูงกว่าไดสตาร์กำหนดไว้ จะอยู่ในอัตราสูงกว่าไดสตาร์นิดหน่อยแต่ไม่ถึงระดับสินค้าญี่ปุ่น กลุ่มลูกค้าจะอยู่ระดับกลางลงมาล่างเช่นเดิม

จากเกมธุรกิจของไดสตาร์แม้กระทั่งแดวูเองครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการดิ้นท่ามกลางกระแสเสรีทางเศรษฐกิจ จุกแข็งต่างๆ ของไดสตาร์ไม่ว่าจะเป็นฐานลูกค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ, เครื่องหมายการค้าที่มีเป็นของตนเอง, การมีโรงงานถึง 2 โรงงาน, มีหน่วยงาน R & D ที่จะรับผิดชอบการค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้มากมาย, การใช้วัตถุดิบจากบริษัทชั้นนำอย่างมัซซูชิตะ, โตชิบา ยุโรป และอเมริกา เหล่านี้จะสามารถนำพาไดสตาร์และแดวูไปสู่จุดหมายปลายทางที่ทั้งคู่ตั้งไว้ได้แน่นอน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us