Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 กรกฎาคม 2549
โบรกฯชี้การเมืองไม่จบฉุดหุ้นรูดต่อQ1บิ๊กแคป-พื้นฐานดีร่วงตามตลาด             
 


   
search resources

Stock Exchange




40 บริษัทใน SET 50 รูดตามตลาด ไตรมาส2/49 ไอทีวีทรุดหนักสุด 71.25% ตามด้วยยูคอมรูด 30.88% นักวิเคราะห์ระบุตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่ที่อารมณ์ของนักลงทุนเป็นหลัก หุ้นใหญ่พื้นฐานดีก็มีความเสี่ยง ขณะที่บล.นครหลวงไทย ชี้การเมืองไม่นิ่งยังน่าห่วง ชี้เศรษฐกิจปีนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบมากเชื่อปีหน้าตัวเลขเศรษฐกิจแย่

จากการรวบรวมข้อมูลราคาหลักทรัพย์ในกลุ่ม SET 50 สำหรับงวดไตรมาส 2/49 ที่ผ่านมาพบว่าการปรับตัวลดลงของราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งสูงกว่าการปรับตัวลดลงของดัชนี SET 50 โดยดัชนีปิดที่ 471.54 จุด ลดลง 37.58 จุด หรือ 7.38% เมื่อเทียบกับราคาปิดสิ้นไตรมาส 1/49 ซึ่งดัชนีปิดที่ 509.12 จุด

ทั้งนี้พบว่ามี 10 บริษัทที่ราคาหุ้นในช่วงดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BGH ราคาปิดที่ 30.25 บาท เพิ่มขึ้น 5.25 บาท หรือ 21%, บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BEC ราคาปิดที่ 15 บาท เพิ่มขึ้น 2.30 บาท หรือ 18.11%, บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ราคาปิดที่ 32.75 บาท เพิ่มขึ้น 4.75 บาท หรือ 16.96%, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ราคาปิดที่ 56 บาท เพิ่มขึ้น 8 บาท หรือ 16.67%,บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT ราคาปิดที่ 38.50 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือ 8.45%, บริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ CP7-11 ราคาปิดที่ 7.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.55 บาท หรือ 8.27%

ขณะที่ราคาหุ้นอีก 40 บริษัทปรับตัวลดลงโดยหุ้นที่ราคาปรับตัวลดลงมากที่สุดใน SET 50 คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 106 บาท ลดลง 434 บาท หรือ 80.37%, บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV ราคาปิดที่ 2.76 บาท ลดลง 6.84 บาท หรือ 71.25%, บริษัท ยูไนเต็ดคอมมูนิเกชั่น อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ UCOM ราคาปิดที่ 35.25 บาท ลดลง 15.75 บาท หรือ 30.88%, บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ราคาปิดที่ 62 บาท ลดลง 21.50 บาท หรือ 25.75%, บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD ราคาปิดที่ 5.05 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ 25.74%

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า จากปัจจัยลบต่างๆที่เข้ามากระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยจนส่งผลทำให้ราคาหุ้นต่างปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทยซึ่งเพิ่งพาการปรับตัวเพิ่มขึ้นและลดลงของราคาหุ้นขนาดใหญ่ต้องได้รับผลกระทบด้วยเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ไม่มีความมั่นใจต่อสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศจึงต้องขายเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ การปรับลดลงของดัชนีในกลุ่ม SET 50 ส่งผลกระทบที่ค่อนข้างชัดเจนกับกลุ่มนักลงทุนในประเทศที่นิยมการลงทุนกับกองทุนเนื่องจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนใหญ่หากจะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์จะพิจารณาจากขนาดและพื้นฐานของบริษัทเป็นอันดับแรก ซึ่งการปรับลดลงของราคาหุ้นจึงส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นไปด้วย

"การลงทุนแม้ว่าจะมีการแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ พื้นฐานดี เป็นหลักแต่ก็ยังถือว่ามีความเสี่ยงจากการลงทุนที่ไม่น้อย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยในบางช่วงราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นอยู่ขนาดและพื้นฐานของบริษัทแต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ในการเลือกลงทุนของนักลงทุนเป็นหลัก"แหล่งข่าวกล่าว

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส2 ที่ผ่านมาซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากเนื่องจากปัจจัยลบหลายอย่างประกอบกันรวมถึงเรื่องผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวลดลง โดยราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงส่งผลทำให้ตอบแทนจากเงินปันผลบางบริษัทปรับตัวขึ้นสูงถึง 10% ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่สูงเกินไป

ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่กระทบต่อราคาหุ้นในประเทศช่วงที่ผ่านมาเรื่องสำคัญ คือ ปัญหาภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการเมืองซึ่งในอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยที่จะต้องตกอยู่ในภาวะสุญญากาศเป็นเวลานานขนาดนี้ โดยเชื่อว่าในช่วง 1-2 เดือนต่อจากนี้ปัญหาทางการเมืองน่าจะยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรที่ชัดเจน

"ตอนนี้ภาวะทางการเมืองอยู่ในช่วงที่ปลายเปิด อะไรก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งในปีนี้เศรษฐกิจอาจจะยังไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนเหมือนตลาดหุ้นมากนักแต่ในปีนี้เรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องที่น่าห่วง ยิ่งถ้าการเลือกตั้งไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็วจะส่งผลต่อเรื่องงบประมาณอย่างแน่นอน"นายสุกิจกล่าว

สำหรับ การคาดการณ์ว่าจะสามารถเลือกตั้งได้ในช่วงเดือนต.ค.นี้ หากเป็นเช่นนั้นจริงการเสนองบประมาณของภาครัฐอาจจะต้องรอถึงเดือนเม.ย. ปีหน้า ขณะที่หากเกิดการยุบพรรคการเมืองขึ้น จะส่งผลที่ชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยตลาดหุ้นคงจะต้องรับผลกระทบที่ชัดเจน เนื่องจากไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าบทวรุปจะเป็นอย่างไร   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us