|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
จับงานในมือ(Backlog)ของบริษัทรับเหมาลดลง โดยเฉพาะบริษัทที่ยึดงานภาครัฐเป็นหลัก หลังปัจจัยทางการเมือง เศรษฐกิจไม่นิ่ง ซ้ำร้ายงบประมาณลงทุนเมกะโปรเจกต์ถูกเลื่อนออกไป ฟุ้งปี 2550 โครงการก่อสร้างภาครัฐที่ถูกแช่แข็งจะถูกปัดฝุ่นอีกครั้ง ส่วนงานก่อสร้างภาคอสังหาฯยังซบเซาตามสภาพตลาด ด้านแอสคอนฯจ่อเซ็นสัญญางานใหม่เกือบ 1,000 ล้านบาท
บริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้รายงานคาดการณ์ภาวะธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี 2549 ช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ จากข้อมูลรายงานดัชนีคาดการณ์ภาวะธุรกิจสาขาก่อสร้างของกระทรวงพาณิชย์ล่าสุด มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 44.5 % ซึ่งถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง สาเหตุหลักยังคงเป็นผลมาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งส่งผลให้โครงการลงทุนในภาครัฐ รวมถึงโครงการประเภท เมกะโปรเจกต์มีการเลื่อนการใช้งบประมาณออกไป ขณะเดียวกันในส่วนของงานก่อสร้างในภาคเอกชนมีแนวโน้มการชะลอตัวเช่นกัน หลังจากที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดต่ำลง เนื่องมาจากวิกฤตทางการเมือง การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่กดดันให้ผู้บริโภคไม่มีความมั่นใจที่จะเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยหรือการลงทุนเพิ่ม
สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในปี49 คงต้องมีการปรับตัวในหลายด้านเพื่อรองรับการชะลอตัวของตลาดในช่วงนี้ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่อิงอยู่กับโครงการในภาครัฐบาลเป็นหลักจะได้รับผลกระทบจากตัวเลขงานในมือ(Backlog) ที่ลดต่ำลงกว่าประมาณการที่คาดไว้
บริษัทฯ คาดว่าสถานการณ์ในลักษณะนี้น่าจะกินระยะเวลาสั้น ๆ และเป็นผลกระทบที่ไม่รุนแรงมากนัก โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างที่มีมูลค่าไม่สูงมาก แต่ส่วนใหญ่ยังคงมีแผนงานก่อสร้างเช่นเดิม คาดว่า ในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นปีงบประมาณใหม่โครงการต่าง ๆ ในภาครัฐที่ถูกเลื่อนออกไปจากปี 2549 จะกลับเข้ามาอยู่ในแผนงานก่อสร้างอีกครั้งซึ่งจะทำให้ในปี 2550 ตลาดรับเหมาก่อสร้างน่าจะกลับเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้
ขณะที่ในส่วนของตลาดการก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์คาดว่า การขยายตัวในช่วงนี้คงเป็นไปตามภาวะกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง โดยผู้ประกอบการในกลุ่มนี้ ช่วงนี้คงต้องมีการบริหารและจัดการด้านต้นทุนให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่มีการรับงานมาก่อน ที่ราคาน้ำมัน และวัสดุก่อสร้างจะปรับตัวสูงขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งอื่น ๆ ในตลาดได้
แอสคอนฯขยายฐานลูกค้าสร้างรายได้เพิ่ม
นายพัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอสคอน ฯ กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาดมีการชะลอตัวเช่นนี้ นอกจากการบริหารและจัดการกับต้นทุนแล้ว ที่สำคัญคงต้องหันมาให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเพิ่มช่องทางใหม่ๆ โดยในส่วนของบริษัทฯ ได้มีการปรับแนวทางมาตั้งแต่ช่วงต้นปี จากเดิมรับงานในภาคเอกชนเป็นหลักหันมาเข้าประมูลโครงการในภาครัฐเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดคือ การก่อสร้างโครงการบ้านธนารักษ์ ของกรมธนารักษ์มูลค่า 495 ล้านบาท
"ตอนนี้คาดว่าตลาดยังไม่ส่งผลกระทบที่ชัดเจนมากนัก โดยเฉพาะกับบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ที่มีขนาดไม่ใหญ่ ปัญหาตอนนี้น่าจะเป็นเรื่องการบริหารและจัดการกับต้นทุนมากกว่า ขณะที่บริษัทผู้รับเหมาขนาดใหญ่อาจได้รับผลกระทบพอสมควรจากตัวเลข Backlog ที่ต้องมีการประเมินกันใหม่ จนกว่าเรื่องของการเมืองจะคลี่คลายไปในทางที่ดีได้" นายพัฒนพงษ์ กล่าว
สำหรับความคืบหน้าการเข้าซื้อกิจการ(เทกโอเวอร์)บริษัทรับเหมาเอกชนที่ได้ใบอนุญาต(ไลเซ่นส์ )เพื่อประมูลงานภาครัฐได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งใช้งบประมาณลงทุนครั้งนี้ประมาณไม่เกิน10 ล้านบาท และหลังจากได้ไลเซ่นส์ใหม่ในครั้งนี้ จะสามารถเข้าประมูลงานภาครัฐบาลได้ทันที โดยบริษัทตั้งเป้ารับงานจากภาครัฐไว้ที่ประมาณ 500- 1,000 ล้านบาท ทุกปี
โดยภายในเดือนมิ.ย.นี้ บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอการเซ็นสัญญาเพิ่มอีก 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 900 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท โรงงาน 1 โครงการ มูลค่า 60 ล้านบาท งานคอนโดฯของภาครัฐ 1 โครงการ มูลค่า 130 ล้านบาท และโครงการอาคารสูงที่อยู่ระหว่างสรุปผลขั้นสุดท้ายอีก 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้จากจำนวนงานใหม่ที่ทยอยรับเข้ามาเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีนี้ ทำให้มีมูลค่างานในมือ ณ ปัจจุบัน เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,700 ล้านบาท
|
|
|
|
|