ทำไมยามาฮ่าไม่ต่อสัญญาความร่วมมือทางเทคนิคกับสยามยามาฮ่า ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยสยามกลการ
หรือพูดง่ายๆ ทำไมยามาฮ่า มอเตอร์ ไม่เลือกสยามกลการซึ่งเป็นคู่ค้าเก่าแก่กันมานานกว่า
30 ปี ดูเหมือนจะเป็นคำถามที่ทุกฝ่ายพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึง หรือหากจะตอบก็ตอบแบบเลี่ยงๆ
โดยเฉพาะนายซาโตชิ วาตานาเบ้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยามาฮ่า มอเตอร์
จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งน่าจะเป็นผู้ที่ตอบคำถามนี้ได้ดีที่สุด ก็ปฏิเสธที่จะตอบเมื่อถูกสื่อมวลชนถามเอาตรงๆ
ในวันแถลงข่าวประกาศการร่วมธุรกิจกับกลุ่มเคพีเอ็นเมื่อวันที่ 17 มีนาคม
2538
ฝ่ายนายเกษม ณรงค์เดช ประธานกลุ่มเคพีเอ็น ซึ่งสวมหมวกอีกใบในฐานะผู้จัดการใหญ่สยามยามาฮ่าตอบแทนอย่างอ้อมๆ
ว่า การไม่ต่อสัญญาครั้งนี้เป็นสิทธิที่ยามาฮ่า มอเตอร์ จะกระทำได้โดยชอบธรรม
เพียงแต่แจ้งให้สยามยามาฮ่ารับทราบล่วงหน้าก่อน 1 ปี ก็ถือว่าการดำเนินธุรกิจร่วมกันเป็นอันสิ้นสุดลง
ยิ่งด้านนายพรเทพ พรประภา ผู้จัดการใหญ่ของสยามกลการเองแล้วการที่ยามาฮ่า
มอเตอร์ ไม่ต่อสัญญากับสยามยามาฮ่านั้นเป็นเรื่องที่ทำให้เขาแทบ "ช็อก"
เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
ดังนั้นเมื่อต้องการค้นหาคำตอบกันจริงๆ ก็คงต้องย้อนกลับไปดูอดีตที่ผ่านมาว่าแต่ละฝ่ายทำอะไรไว้ประทับใจกรรมการมากน้อยแค่ไหน
เริ่มจากบริษัทสยามกลการ จำกัด ซึ่งมีนายพรเทพ พรประภา เป็นแม่ทัพใหญ่ในปัจจุบันนั้นค่อนข้างเสียเปรียบในเรื่องอดีต
แม้ว่าจะสามารถสร้างภาพพจน์ให้โดดเด่นขึ้นมาได้ในช่วงหลัง โดยมีโครงการ "Think
Earth" เป็นธงนำ
แต่ว่ากันว่าการบริหารในสยามกลการเป็นที่สะพรึงกลัวแก่ฝ่ายยามาฮ่า มอเตอร์
ยิ่งนัก จนกลายเป็นสาเหตุหลักที่ยามาฮ่า มอเตอร์ เลือกที่ดำเนินธุรกิจร่วมกับเคพีเอ็นแทน
พรเทพ พรประภา เข้ามาบริหารในสยามกลการต่อจากคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ซึ่งถูกลดบทบาทลง
โดยถูกดันไปนั่งในตำแหน่งรองประธานบริษัทเมื่อช่วงปลายปี 2536 หลังจากความขัดแย้งในสยามกลการสุกงอมเต็มที่
ทันทีที่พรเทพเข้ามาบริหารงานในบริษัท สยามกลการ สิ่งแรกที่เขาทำคือ การเปลี่ยนระบบจัดจำหน่ายจากสาขามาเป็นดีลเลอร์
โดยการขยายสาขา 117 แห่งทั่วประเทศให้แก่นักลงทุนท้องถิ่นที่สนใจ
ถ้าถามว่าการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดจำหน่ายจากสาขามาเป็นดีลเลอร์นั้นดีและเหมาะสมหรือไม่
คงเป็นเรื่องที่พูดกันลำบากเพราะหลักการบริหารที่จะนำมาใช้มันแตกต่างกัน
แต่ที่แน่ๆ ภาพพจน์ที่ยิ่งใหญ่ของสยามกลการถูกลดทอนลงแน่
นอกจากนี้ยอดการจำหน่ายรถยนต์นั่งของนิสสันในยุคพรเทพเป็นผู้บริหารยังลดต่ำลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
กล่าวคือลดลงถึง 76% ทั้งๆ ที่คู่แข่งสำคัญอย่างโตโยต้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ
สามารถประคองตัวอยู่ได้ ยังดีที่ได้รถกระบะเข้ามาช่วยกู้ยอดขายไว้ได้ มิฉะนั้นตัวเลขการขายของนิสสันในปีปีที่ผ่านมาคงดูไม่จืด
ความตกต่ำของรถยนต์นั่งนิสสันอย่างมโหฬาร ทั้งๆ ที่สภาพเศรษฐกิจของประเทศไม่ได้ตกต่ำขนาดนั้น
จึงน่าจะทำให้ยามาฮ่า มอเตอร์ เห็นวี่แววอะไรบางอย่างอยู่บ้าง
เหตุการณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับสยามกลการเมื่อเร็วๆ นี้
ก็คือการขายสินเชื่อจำนวน 7,000 ล้านบาทของบริษัทให้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ซิทก้า
จำกัด โดยอ้างว่าความเสี่ยงสูง อาจจะเก็บเงินไม่ได้
ทั้งๆ ที่โดยหลักแล้วสินเชื่อถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงบริษัทรถยนต์มากกว่ายอดขายรถยนต์แต่ละเดือนเสียอีก
เพราะโดยธรรมชาติแล้วการขายรถยนต์จะมีช่วงการขายที่ไม่แน่นอน บางช่วงขายได้มากบางช่วงขายได้น้อย
ดังนั้นดอกเบี้ยจากการปล่อยสินเชื่อจะเป็นรายได้หลักที่นำไปใช้จ่ายภายในบริษัท
นอกจากนี้พรเทพยังมีแนวคิดที่จะหันไปทำธุรกิจสายอื่นที่แตกต่างออกไปจากอุตสาหกรรมรถยนต์
ที่สยามกลการดำเนินการอยู่มากขึ้น อาทิ การเข้าไปถือหุ้นในบงล.ซิทก้า การเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่องค์กรและยังสร้างภาพการเป็นบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนลอีกด้วย
จะเห็นได้ว่าช่วงปีกว่าที่พรเทพเข้ามาบริหารงาน สยามกลการเปลี่ยนโฉมหน้าไปจากบริษัทรถยนต์ระดับชาติ
ชนิดไม่เหลือเค้า
แต่หากย้อนกลับมาดูธุรกิจในเครือเคพีเอ็นของเกษมและคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช
จะเห็นว่าแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ ช่วง 24 ปีที่เกษมเข้าไปรับผิดชอบบริษัท
สยามยามาฮ่านั้นเขาสร้างอาณาจักรเคพีเอ็นให้ยิ่งใหญ่ขึ้นทุกวัน ปัจจุบันกลุ่มเคพีเอ็นมีบริษัทในเครือทั้งสิ้นรวมแล้วไม่น้อยกว่า
30 บริษัท (ดูตารางเครือข่ายธุรกิจของ "เคพีเอ็น" กรุ๊ป ประกอบ)
มีทั้งกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์และรถยนต์เป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มการค้า กลุ่มบริการและกลุ่มอื่นๆ อีก ซึ่งดูจะมีทิศทางชัดเจนกว่าสยามกลการยามนี้
ประกอบกับกระแสข่าวที่ว่าพรเทพ พรประภา พยายามที่จะดึงสยามยามาฮ่ากลับไปบริหารงาน
จึงเป็นตัวกระตุ้นให้ยามาฮ่า มอเตอร์ ต้องเร่งตัดสินใจว่าเขาจะเลือกใคร เพราะหากไม่ตัดสินใจอะไร
มัวปล่อยให้ตาอยู่มาคว้าเอาพุงไปกิน ก็จะกระทบกระเทือนไปถึงยอดขายและภาพพจน์ของยามาฮ่าซึ่งคงต้องใช้เวลานานกว่าจะพลิกฟื้นกลับมาได้
ที่สำคัญจากในอดีต ผู้ที่สร้างชื่อ "ยามาฮ่า" ขึ้นในวงการมอเตอร์ไซค์เมืองไทยน่าจะเป็น
"เกษม ณรงค์เดช" เสียมากกว่า เพราะอย่างน้อยพรเทพก็มาทีหลัง
ด้วยสายสัมพันธ์อันยาวนานกับเกษม และเมื่อต้องตัดสินใจเลือกข้างในสถานการณ์ที่กำลังร้อนระอุเช่นนี้
ยามาฮ่า มอเตอร์จึงตัดสินใจได้รวดเร็วเป็นพิเศษ