Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2538








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2538
ยามาฮ่าในเงื้อมมือคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช             
โดย เดือนเพ็ญ ลิ้มศรีตระกูล สันทิฏฐ์ สมานฉันท์
 

   
related stories

ยามาฮ่ากลัว "พรเทพ"ผู้ขายทุกอย่างที่ขวางหน้า ?

   
www resources

โฮมเพจ-ยามาฮ่า มอเตอร์

   
search resources

เคพีเอ็น กรุ๊ป, บจก.
สยามยามาฮ่า
ยามาฮ่า มอเตอร์, บจก.
เกษม ณรงค์เดช
สิงห์ชัย ภู่วโรดม
Motorcycle




การตัดสินใจของ "ยามาฮ่า" ประเทศญี่ปุ่น ในการจับมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มเคพีเอ็นของเกษม และคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ถือเป็นเรื่องรวดเร็ว และเกินคาดหมาย อีกทั้งยังเป็นช่วง "ร้อนระอุ" ของสงครามระหว่างสองพี่น้อง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นทั้งการ "ฉีกหน้า" และท้าทาย "พรเทพ พรประภา" อย่างรุนแรง

ทำไมยามาฮ่าจึงตัดสินใจเช่นนั้น อนาคตเคพีเอ็นในตลาดรถจักรยานยนต์จะเป็นเช่นไรและพรเทพกับสยามกลการจะหาทางออกอย่างไร ?

"ยามาฮ่า" ไพ่เด็ดเคพีเอ็น กำลังสั่นสะเทือนสยามกลการ

แม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าบริษัท ยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่นสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งนี้จากการประกาศอย่างเปิดเผยของนายทาดาโยชิ ซูกานุมา กรรมการบริษัท ยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปลายปี 2537 ที่ผ่านมาว่า บริษัทมีแผนจะเข้ามาร่วมทุนกับสยามยามาฮ่า เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าป้อนตลาดในประเทศและส่งออกในภูมิภาคนี้

แต่คงต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อกฎหมาย เงื่อนไขสิทธิประโยชน์ในการเข้ามาลงทุน ตลอดจนความพร้อมของผู้ผลิตชิ้นส่วนภายในประเทศ และแรงงาน อีก 2-3 ปีจึงจะสามารถสรุปผลและเริ่มเข้ามาร่วมทุนได้

ดังนั้นการแถลงข่าวประกาศความร่วมมือด้านการผลิตและจัดจำหน่ายจักรยานยนต์ยามาฮ่าระหว่างญี่ปุ่นกับไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2537 จึงกลายเป็นเรื่องล็อกถล่ม เพราะนอกจากว่าการร่วมมือทางธุรกิจจะเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดแล้ว ยังปรากฏว่า ยามาฮ่า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น เลือกที่จะร่วมทุนกับกลุ่มเคพีเอ็น ฐานธุรกิจสำคัญของนายเกษมและคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช แทนคู่ค้าเก่าอย่างบริษัท สยามยามาฮ่า จำกัด ซึ่งมีบริษัท สยามกลการ จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ถึง 67.8% และร่วมธุรกิจกันมากว่า 30 ปี

อะไรเป็นเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแปลก แต่จริงเช่นนี้ในวงการธุรกิจไทย ทั้งๆ ที่เรื่องความต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยยามาฮ่า มอเตอร์ เป็นเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว และอะไรที่ทำให้ฝ่ายเคพีเอ็นเป็นผู้กำชัยเหนือสยามกลการ

ยามาฮ่าแจงเลือกเคพีเอ็น เพราะมีศักยภาพกว่า

นายซาโตชิ วาตานาเบ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึงสาเหตุที่บริษัทเลือกร่วมธุรกิจกับกลุ่มเคพีเอ็นว่าเพราะนายเกษม และคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช มีความคุ้นเคยกับยามาฮ่า มอเตอร์ มากกว่า และบริษัทเชื่อว่ากลุ่มเคพีเอ็นมีศักยภาพที่เหนือกว่ากลุ่มสยามกลการ

นอกจากนี้กลุ่มเคพีเอ็นยังเป็นผู้ดูแลผลิตภัณฑ์ของยามาฮ่ามากว่า 20 ปี และได้แสดงให้เห็นว่าสามารถทำส่วนแบ่งการตลาด และกำไรให้แก่ยามาฮ่าได้ รวมทั้งยังสามารถวางรากฐาน เพื่อการเติบโตได้อย่างมั่นคงอีกด้วย

ดังนั้นยามาฮ่า มอเตอร์ จึงได้แจ้งไปยังบริษัท สยามยามาฮ่า จำกัด ในการที่จะไม่ต่อสัญญาการร่วมมือทางเทคนิคกับสยามยามาฮ่าอีกต่อไป เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2539 โดยบริษัทจะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มเคพีเอ็น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาที่เหลือของสัญญาร่วมมือทางเทคนิค ยามาฮ่า มอเตอร์ จะยังคงให้ความร่วมมือกับสยามยามาฮ่าต่อไป

สำหรับสาเหตุที่ยามาฮ่า มอเตอร์ หวนกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้งหลังจากถอนทุนไปเมื่อเกือบ 25 ปีก่อนนั้น นายซาโตชิกล่าวว่า เนื่องจากฐานการผลิตของบริษัทในญี่ปุ่นไม่สามารถเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกได้อีกต่อไป เพราะปัญหาการแข็งตัวของค่าเงินเยน ประกอบกับตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศญี่ปุ่นยังมีระดับการขยายตัวที่ทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง รวมทั้งยังมีปัญหาในเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย

ดังนั้นยามาฮ่าจึงต้องสร้างฐานการผลิตในประเทศที่มีความพร้อมในเรื่องคุณภาพของสินค้าและราคาที่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งไทยนับเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย อินโดนีเซีย และไต้หวัน รวมทั้งยังถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงเมื่อเทียบกับทวีปอื่นๆ เช่น อเมริกา แอฟริกาใต้ ยุโรป และญี่ปุ่น

ด้านนายเกษม ณรงค์เดช ประธานกลุ่มเคพีเอ็น กล่าวว่า กลุ่มมีความพร้อมและมั่นใจอย่างมากที่จะบริหารงานและดำเนินธุรกิจรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เพราะคณะผู้บริหารของเคพีเอ็นล้วนแล้วแต่มีความชำนาญ และความคุ้นเคยในการประกอบธุรกิจจักรยานยนต์ในประเทศไทยมากว่า 20 ปี

อีกทั้งบริษัทต่างๆ ในกลุ่มเคพีเอ็นก็มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการที่จะรองรับ และสนับสนุนการผลิตรถจักรยายนต์ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเทคโนโลยีและด้านบุคลากร

นายเกษมกล่าวต่อไปว่า การร่วมกันดำเนินธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จะเป็นการร่วมทุนกับยามาฮ่า มอเตอร์ มากกว่าการรับสิทธิการผลิตและจัดจำหน่ายแต่เพียงอย่างเดียว โดยฝ่ายเคพีเอ็นจะถือหุ้นมากกว่าฝ่ายญี่ปุ่น และจะมีการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมารองรับ แต่ขณะนี้ยังไม่มีรายละเอียดในเรื่องนี้ เนื่องจากยังเหลือเวลาอีก 1 ปี กว่าที่สัญญาระหว่างสยามยามาฮ่าและยามาฮ่า มอเตอร์ ญี่ปุ่น จะสิ้นสุดลง เคพีเอ็นจึงยังมีเวลาเตรียมตัว

ก่อนที่จะมาเป็นวันนี้

รถจักรยานยนต์ยามาฮ่าเริ่มเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย เมื่อปี 2502 โดยบริษัท สยามกลการ จำกัด ช่วง 5 ปีแรกเป็นการนำเข้าสำเร็จรูปจากญี่ปุ่น มียอดขายปีละประมาณ 200 คันต่อปี ด้วยวิธีการฝากขายกับห้างร้านต่างๆ

ปี 2507 บริษัท สยามยามาฮ่า จำกัด จึงถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบเรื่องการประกอบรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า โดยเป็นการร่วมลงทุนระหว่างยามาฮ่า มอเตอร์ ญี่ปุ่นและสยามกลการ ด้วยสัดส่วน 30% และ 70% ตามลำดับ มีนายพรชลิต พรประภา เป็นผู้ดูแลการบริหารงาน

อย่างไรก็ดี การร่วมธุรกิจของทั้งคู่ดำเนินไปได้เพียง 7 ปี เพราะปี 2514 ยามาฮ่า ญี่ปุ่นก็ถอนหุ้น 30% จากสยามยามาฮ่า เนื่องจากไม่พอใจในการดำเนินกิจการที่ผ่านมา ในจังหวะนี้เองที่ถาวร พรประภา ได้มอบหมายให้เกษม ณรงค์เดช สามีของลูกสาวคนโปรดเข้ามาดูแลและช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ในสยามยามาฮ่า นัยว่าเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานสำหรับคนทั้งสอง

ปี 2515 เกษม ณรงค์เดช ได้ทำการแยกงานขายรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าจากสยามกลการมาอยู่ภายใต้การดูแลของสยามยามาฮ่า ซึ่งทำให้สยามยามาฮ่ากลายเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่ายด้วยจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

ปี 2520 สยามยามาฮ่าภายใต้การบริหารของเกษม ณรงค์เดช เริ่มไต่อันดับขึ้นมาในตลาดรถจักรยานยนต์ประเทศไทย มีตัวเลขยอดขายมากที่สุดถึง 7.4 หมื่นคัน ปี 2531 รัฐบาลประกาศห้ามนำเข้ารถจักรยานยนต์ทั้งคันจากต่างประเทศ ทำให้การผลิตเครื่องยนต์เป็นสิ่งจำเป็น การก่อตั้งบริษัทยามาฮ่าเอ็นยิ่นส์ เพื่อผลิตเครื่องยนต์สำหรับจักรยานยนต์ยามาฮ่าจึงเริ่มขึ้น โดยเกษมเป็นผู้บุกเบิกและควักเงินลงทุน 520 ล้านบาท ฝ่ายสยามยามาฮ่าถือหุ้น 125 ล้านบาท ของทุนจดทะเบียน 645 ล้านบาท

ปี 2533 สยามยามาฮ่ามียอดการจำหน่ายจักรยานยนต์ทุกรุ่น 2.2 แสนคัน

ล่าสุดปี 2537 ยามาฮ่ามียอดขายเป็นอันดับ 2 ในตลาดรถจักรยานยนต์รองจากค่ายฮอนด้า โดยมีตัวเลขการจำหน่าย 338,232 คันถีบตัวสูงขึ้นจากอันดับ 3 ในปี 2536

ขณะเดียวกันก็เป็นปีที่สยามยามาฮ่าระอุไปด้วยกระแสข่าวว่าพรเทพ พรประภา น้องชายร่วมสายโลหิตของคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช เตรียมรุกคืบเข้ามายึดอำนาจการบริหารงานในสยามยามาฮ่า สมบัติชิ้นสุดท้ายของสยามกลการที่เกษมและคุณหญิงพรทิพย์เป็นผู้ดูแลคืนไปบริหารเอง

กระแสข่าวนี้เองที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวหลายๆ อย่างจากฝ่ายเกษมและคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับอิตาลีก่อตั้งบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล วีฮิเคิล ขึ้นมาเพื่อผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ "คาจีว่า"

รวมทั้งการเดินแผนดึงยามาฮ่า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่นให้เข้ามาร่วมลงทุนในสยามยามาฮ่าอีกครั้ง หลังจากที่ถอนตัวไปเมื่อ 20ปีก่อน และพยายามจะกลับเข้ามาร่วมทุนใหม่ในตอนหลังแต่ก็ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ถือหุ้นฝ่ายไทย ทั้งนี้เพื่อลดอำนาจของสยามกลการในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่

ขณะเดียวกันก็มีความพยายามที่จะเจรจาขอซื้อหุ้นในสยามยสมาฮ่าที่สยามกลการถือไว้ 67.8% มาไว้ในมือ เพราะเดิมกลุ่มเคพีเอ็นมีหุ้นอยู่เพียง 13.3% เพื่อที่จะได้มีอำนาจในการบริหารงานเต็มที่

แต่ปรากฏว่าการเจรจาซื้อขายหุ้นดังกล่าวไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องราคาซื้อขาย โดยกลุ่มเคพีเอ็นเสนอซื้อที่ราคา 500 ล้านบาท ก่อนที่จะขยับไปที่ 800 ล้านบาท ฝ่ายสยามกลการมีข่าวว่าต้องการจะขายที่ราคาสูงถึง 5,000 ล้านบาท ซึ่งพรเทพออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เขาต้องการขายในราคา 1,200 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้ก็เกิดเรื่องยามาฮ่า มอเตอร์ ญี่ปุ่น ไม่ยอมต่อสัญญากับสยามยามาฮ่าและหันไปจับมือกับกลุ่มเคพีเอ็นเสียก่อน

นับย้อนหลังสยามยามาฮ่า ถ้าสยามกลการไม่ยอมขาย

สิงห์ชัย ภู่วโรดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ด้านการตลาด บริษัท สยามยามาฮ่า จำกัด เปิดเผยถึงสภาพตลาดรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เมื่อปี 2537 ที่ผ่านมาว่า รถจักรยานยนต์ยามาฮ่ามียอดจำหน่าย 338,739 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 26.54% ของตลาดรวม 1,276.448 คัน หรือเป็นอันดับสองรองจากฮอนด้า ซึ่งมียอดขาย 530,683 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 41.57% อันดับสาม คือรถจักรยานยนต์ซูซูกิ 320,695 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 25.13% สุดท้ายคือคาวาซากิ 86,331 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 6.76%

ในปี 2538 นี้คาดว่าตลาดรถจักรยานยนต์รวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านคัน โดยยามาฮ่าคาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 4.2 แสนคัน หรือประมาณ 33% ซึ่งผลการดำเนินงานช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นไปตามการคาดการณ์ จึงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ปัจจุบันยามาฮ่ามีกำลังการผลิตประมาณ 4 แสนคันต่อปี แต่ยังสามารถเพิ่มกะทำงานได้ หากต้องการกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องกำลังการผลิตไม่พออย่างแน่นอน

สำหรับแนวทางการขยายตลาดนั้นสิงห์ชัยกล่าวว่า บริษัทจะเน้นไปในเรื่องการบริการและการขยายจุดขายออกไปในอำเภอเศรษฐกิจตามต่างจังหวัด และปริมณฑล โดยคาดว่าจะเพิ่มดีลเลอร์จาก 250 แห่งเป็น 290-300 แห่ง นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอีกประมาณ 1-2 รุ่น

แต่ 1 ปีหลังจากนี้คงเป็นที่แน่นอนแล้วว่า บริษัท สยามยามาฮ่า จำกัด หากยังมีสยามกลการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็คงจะกลายเป็นบริษัทที่เหลือแต่บริษัทเปล่าๆ เพราะสินค้าสำคัญ คือรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ซึ่งคาดว่าจะทำยอดขายในปีนี้ประมาณ 15,000 ล้านบาท จะต้องตกไปอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทใหม่ที่เป็นบริษัทร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มเคพีเอ็นและยามาฮ่า มอเตอร์ ญี่ปุ่น เว้นเสียแต่ว่าสยามกลการจะยอมขายหุ้นเพื่อถอนทุนคืนก่อนสายเกินไป

การเปลี่ยนแปลงของสยามยามาฮ่าซึ่งจะมีผลในเดือนเมษายน ปี 2539 นั้นจึงเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีทั้งผู้ได้รับผลประโยชน์และผู้สูญเสียผลประโยชน์

จับตาอนาคตยามาฮ่า ในอ้อมอกเคพีเอ็น

ถ้าจะวิเคราะห์ถึงอนาคตของรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ภายหลังจากตกเป็นของบริษัทร่วมทุนใหม่ระหว่างกลุ่มเคพีเอ็นและยามาฮ่า มอเตอร์แล้วคงจะมองเห็นได้ไม่ยากว่า ยามาฮ่าภายใต้การดูแลของบริษัทใหม่น่าจะมีโอกาสทางธุรกิจและการตลาดที่ดีกว่าปัจจุบัน

ทั้งนี้เนื่องจากยามาฮ่า มอเตอร์ คงต้องทุ่มเทและทุ่มทุน ทั้งในด้านกำลังทรัพย์การพัฒนาบุคลากร การช่วยพัฒนาสินค้า ช่วยลดต้นทุนการผลิตสินค้า การหาช่องทางการตลาดเพื่อเพิ่มการแข่งขันให้มากขึ้น

จากเดิมที่สยามยามาฮ่าต้องต่อสู้กับคู่แข่งตามลำพัง ไม่ว่าจะในเรื่องการจัดจำหน่ายหรือการผลิต เพราะในอดีตยามาฮ่า มอเตอร์ให้ความช่วยเหลือเฉพาะด้านเทคนิคการผลิตเท่านั้น

ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาสินค้าใหม่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่กลุ่มเคพีเอ็นต้องการมากที่สุด เพราะแน่นอนว่าเมื่อสินค้าดีแล้วก็ย่อมง่ายที่จะประสบความสำเร็จ

ที่ผ่านมาการพัฒนาสินค้าใหม่ได้รับความช่วยเหลือจากยามาฮ่าน้อยมาก แต่เมื่อยามาฮ่าเข้ามาลงทุนเองทั้งในด้านการผลิตและการจำหน่าย คงจะต้องนำเทคโนโลยีการพัฒนาสินค้าใหม่เข้ามาช่วยเหลืออย่างแน่นอน ยิ่งประกอบกับการได้เข้ามาเห็นตลาด เห็นสภาพการใช้งานอย่างจริงจังก็จะยิ่งสามารถปรับปรุงสินค้าใก้ใกล้เคียงกับความต้องการของผู้ใช้ในประเทศได้มากที่สุด โดยอาจจะมีการลดการใช้ชิ้นส่วนที่ไม่มีความจำเป็นออกไป ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงไปได้อีก

ประการสำคัญคือเมื่อโรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าในประเทศไทยกลายเป็นฐานการส่งออก ซึ่งจะหมายถึงปริมาณการผลิตที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงตามหลักของ Economy of Scale

สำหรับพนักงานและดีลเลอร์ของสยามยามาฮ่านั้น คงไม่ได้รับผลกระทบเพราะบริษัทใหม่ที่จัดตั้งขึ้นประกาศแล้วว่าจะรับโอนทั้งหมดหากสมัครใจ

ผลกระทบต่อตลาดโดยรวม

หารที่ยามาฮ่า มอเตอร์ จะเข้ามาช่วยสนับสนุนสินค้าของตัวเองอย่างเต็มที่ในปีหน้า ทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ยามาฮ่าอาจจะมีโอกาสขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยก็ตาม แต่คงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก รวมทั้งคงต้องใช้ระยะเวลาในการไต่เต้าขึ้นมาอีกหลายปี เพราะคู่แข่งสำคัญอย่างฮอนด้านั้นนอกจากจะเป็นคู่แข่งที่เข้มแข็ง ด้วยความพร้อมในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการได้รับความสนับสนุนจากบริษัทแม่ ภาพพจน์ที่แข็งแกร่งแล้ว ที่สำคัญส่วนแบ่งการตลาดของฮอนด้าทิ้งห่างจากยามาฮ่าชนิดค่อนข้างขาดลอย กล่าวคือ ฮอนด้ามีส่วนแบ่งการตลาดในปี 2537 อยู่ 41.57% ส่วนยามาฮ่ามีส่วนแบ่งอยู่ 26.54%

แต่ถ้าเทียบกับซูซูกิ ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดที่ใกล้เคียงกับยามาฮ่าในปีที่ผ่านมาคือซูซูกิครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ 25.13% แล้วน่าจะมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่ยามาฮ่าจะยึดตำแหน่งเบอร์สองของตลาดรถจักรยานยนต์จากซูซูกิได้ค่อนข้างถาวร หลังจากที่คู่คี่สูสีกันมาตลอด เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้ยามาฮ่าได้รับผลกระทบทางบวก คือได้รับความช่วยเหลือจากบริษัทแม่เต็มรูปแบบ แตกต่างจากเดิมที่คนไทยต้องต่อสู้เพียงลำพัง

สำหรับคาวาซากิซึ่งเป็นเจ้าที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยที่สุดอยู่ในขณะนี้เพียง 6.76% นั้นคงเป็นคู่แข่งที่ยามาฮ่าไม่ให้ความสำคัญที่จะแข่งขันด้วยมากนัก แต่คงมองหาวิธีที่จะแย่งส่วนแบ่งการตลาดมาให้ได้มากที่สุดมากกว่า

อนาคตเคพีเอ็น เจ้าตลาดจักรยานยนต์ ?

กลุ่มเคพีเอ็น ของเกษมและคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช เริ่มต้นธุรกิจรถจักรยานยนต์ด้วยการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์เป็นหลัก ก่อนที่จะก้าวเข้ามาส่ธุรกิจการตลาดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโดยเคพีเอ็นนับเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ ที่ผลิตชิ้นส่วนได้เกือบครบ 100% ขาดเพียงแค่คลัตช์และเกียร์ ซึ่งกำลังจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท ซูมิโตโมของญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้เท่านั้น

เคพีเอ็นเป็นกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์จากการร่วมธุรกิจกับยามาฮ่า มอเตอร์ สูงสุด เพราะนอกจากจะผันตัวเองจากการเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์มาสู่ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เพื่อจำหน่ายในประเทศแล้ว ยังเป็นโอกาสที่กลุ่มเคพีเอ็นจะสามารถขายชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ได้มากขึ้น เพราะฐานการผลิตของบริษัทร่วมทุนใหม่นี้จะเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าเพื่อการส่งออกด้วย

นี่ยังไม่นับรวมถึงโอกาสในการที่ได้เรียนรู้เทคโนโลยีการผลิต และพัฒนาสินค้ารถจักรยานยนต์จากยอดวิชา คือยามาฮ่า มอเตอร์ด้วย

ที่สำคัญเคพีเอ็นยังมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดรถจักรยานยนต์ในอนาคต เพราะนอกจากจะมีรถจักรยานยนต์ยามาฮ่าอยู่ในมือแล้ว เคพีเอ็นยังเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ "คาจีว่า" ซึ่งเป็นความร่วมมือทางธุรกิจกับอิตาลีอีกด้วย

ดังนั้นหากยามาฮ่ากับคาจีว่าไม่มัวมากินส่วนแบ่งการตลาดกันเอง โอกาสที่จะเป็นผู้นำตลาดก็เป็นไปได้สูง

ทางออกสยามกลการ ขายทิ้งหรือหาสินค้าใหม่

ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีนี้มากที่สุด คงจะหนีไม่พ้น "สยามกลการ" ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในสยามยามาฮ่า ขณะนี้กำลังเป็นที่จับตามองกันว่าพรเทพ พรประภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ของสยามกลการ ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ถือหุ้นจะเดินเกมอย่างไรต่อไป

เพราะเดิมพรเทพกล่าวภายหลังการประชุมผู้ถือหุ้นใหญ่ของสยามกลการเมื่อวันที่ 22 มีนาคมว่า ผู้ถือหุ้นสยามกลการมีมติมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารบริษัทสยามกลการ สยามยามาฮ่า เพื่อขอรับทราบข้อเท็จจริง หรือปัญหาที่เกิดขึ้นและรักษาผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของบริษัทสยามกลการ

"ผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของบริษัทสยามกลการ" ที่ผู้ถือหุ้นเอ่ยอ้างถึงนั้น แบ่งได้เป็นประการแรก เงินปันผล 35% ของผลกำไรจากการบริหารงานของสยามยามาฮ่าซึ่งปีที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 12,000 ล้านบาท

ประการที่สอง การต้องยุติกิจการของสยามยามาฮ่า หลังจากที่สัญญาความร่วมมือกับยามาฮ่า มอเตอร์ ต้องสิ้นสุดลงในเดือนเมษายนปีหน้า อันหมายถึงบริษัทสยามยามาฮ่า จะไม่มีสินค้าที่ทำรายได้หลักให้กับบริษัทอยู่ในมืออีกต่อไป สำหรับทางออกก็คือ การหาสินค้าใหม่มาจำหน่ายแทนหรือไม่ก็ต้องขายหุ้น 67.8% ที่ถืออยู่ให้กับกลุ่มเคพีเอ็น เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นเจ้าของบริษัทที่ไม่มีความสามารถในการดำเนินธุรกิจ

ประการสำคัญ อาณาจักรสยามกลการที่เคยกว้างใหญ่ไพศาลในอดีต ถึงขนาดเคยติดอันดับองค์กรที่มีขนาดใหญ่ทอปเท็นในเอเชีย กำลังจะถูกลบเลือนไปเรื่อยๆ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันดูว่าสยามกลการจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

นอกจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเคพีเอ็นกับสยามกลการก็อาจจะค่อยๆ ยุติกันโดยสิ้นเชิง เพราะนอกจากความสัมพันธ์ในสยามยามาฮ่าแล้ว ยังน่าจับตาบริษัทผลิตชิ้นส่วนอีก 8 บริษัท ที่สยามกลการเข้าไปถือหุ้นในนามสยามยามาฮ่า แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นหุ้นส่วนน้อย ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ยามาฮ่าเอ็นยิ่นส์ จำกัด บริษัท ไทยคลังสินค้า จำกัด บริษัท วี.อาร์. วิคเตอร์ จำกัด บริษัท วี.อาร์.(ไทยแลนด์) จำกัด บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลคาสติ้ง จำกัด บริษัท สยามอีเล็คทริเคิลพาร์ท จำกัด บริษัท ณรงค์อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) และบริษัท เค.อี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us