Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2549








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2549
อนาคตของมิชแลง             
โดย สุภาพิมพ์ ธนะพรพันธุ์
 


   
www resources

โฮมเพจ Michelin Homepage

   
search resources

Auto-parts
Michelin




พลันที่ข่าวการเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุเรือล่มของเอดูอารด์ มิชแลง (Edouard Michelin) ขณะไปตกปลากับเพื่อนแพร่ออกไป สื่อฝรั่งเศสตั้งคำถามว่าอนาคตของมิชแลงจะเป็นอย่างไร ด้วยว่าเอดูอารด์เป็นสมาชิกของตระกูลมิชแลงเพียงคนเดียวที่บริหารอุตสาหกรรมผลิตยางรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ฟรองซัวส์ มิชแลง (Franois Michelin) พ่อของเขาอายุ 79 ปีแล้ว แม้จะยังมีห้องทำงานในสำนักงานใหญ่ที่เมืองแคลมงต์-แฟรองด์ (Clermont-Ferrand) แต่ได้วางมือจากธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2002 ส่วนพี่ชายของเอดูอารด์มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำงานกับมิชแลง ทว่ามีตำแหน่งไม่สำคัญ ในขณะที่ลูกๆ ของเอดูอารด์ล้วนยังเป็นเด็กอยู่ พี่น้องผู้หญิงของเอดูอารด์มิต้องพูดถึง เพราะผู้หญิงในตระกูลมิชแลงไม่มีสิทธิมีเสียงมาแต่ไหนแต่ไร

อริสตีด บาร์บีเอร์ (Aristide Barbier) และเอดูอารด์ โดเบร (Edouard Daubree) ตั้งโรงงานผลิตเครื่องจักรเพื่อการเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางพาราในปี 1832 ที่แคลมงต์-แฟรองด์ (Clermont-Ferrand) ต่อมาในปี 1889 เอดูอารด์ มิชแลง (Edouard Michelin) เป็นผู้บริหารแต่ผู้เดียว และเปลี่ยนชื่อโรงงานเป็นมิชแลง

ในปี 1895 มิชแลงเริ่มผลิตยางรถยนต์และในปี 1898 จึงมีโลโก้เป็นคนตัวขาวอ้วนที่ชื่อว่า Bibendum อันเป็นสัญลักษณ์ของมิชแลงมาจนทุกวันนี้ ในปี 1900 ออกหนังสือชวนชิม Guide rouge กลุ่มมิชแลงซื้อกิจการของรถยนต์ยี่ห้อซิโตรเอ็น (Citroen) ในปี 1935 และขายทิ้งในปี 1975 มิชแลงเป็นผู้ผลิตยางเรเดียลรายแรกในปี 1946

ฟรองซัวส์ มิชแลง เข้าบริหารในปี 1955 และแต่งตั้งให้เอดูอารด์ ลูกชายดำรงตำแหน่งประธานบริษัทในปี 1999

เอดูอารด์ มิชแลงอายุ 42 ปี เป็นลูกคนที่ห้าในหกคนของฟรองซัวส์ เขาเริ่มฝึกงานในโรงงานมิชแลง ตั้งแต่อายุ 16 ปี เมื่อจบการศึกษาในปี 1987 เขาไปฝึกงานในโรงงานมิชแลงในเซาท์ แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ก่อนที่ไปรับราชการทหาร และในปี 1989 เอดูอารด์จึงเข้าทำงานในบริษัทของครอบครัวอย่างจริงจัง เริ่มจากการเป็นผู้อำนวยการฝ่ายผลิตของโรงงานที่ปุย-เดอ เวอเลย์ (Puy-de-Velay) และต่อมาสองปี รับผิดชอบโรงงานของมิชแลงในสหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกันนั้น ผู้ถือหุ้นของมิชแลงได้รับจดหมายบอกเป็นนัยว่า เอดูอารด์จะเป็นผู้บริหารคนต่อไป และแล้วในปี 1999 จึงมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ

เอดูอารด์ร่วมบริหารมิชแลงกับพ่อและเรอเน แซงกราฟ (Rene Zingraff) มาตั้งแต่ปี 1993 เขาเป็นผู้เสนอแนะการปรับปรุงโครงสร้างของบริษัทและในการเจรจากับคู่ค้า ในปี 1986 เขาแถลงผลประกอบการของมิชแลงที่ได้กำไรสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับประกาศลดจำนวน พนักงาน 7,500 คน ยังให้มูลค่าหุ้นในตลาดหุ้นสูงขึ้นถึง 12 เปอร์เซ็นต์ และนั่นย่อมสร้างความไม่พอใจแก่ผู้ที่เสียประโยชน์ รวมทั้งรัฐบาลในขณะนั้นด้วย เป็น "ความไร้เดียงสา" ทางธุรกิจที่เอดูอารด์อยากลืม และพยายามสร้างผลงานใหม่ๆ ที่ทำให้องค์กรโดยรวมทันสมัยขึ้น

ถึงแม้จะเป็นบริษัทในตลาดหุ้น แต่มิชแลงเป็นกิจการครอบครัว นโยบายและการบริหารอยู่ในมือของตระกูลมิชแลงเพียงผู้เดียวมาตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ 140 ปีที่แล้ว และผู้บริหารต้องเป็นชายเท่านั้น แม้จะมั่งคั่ง แต่ตระกูลมิชแลงไม่ชอบออกงานสังคม เก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ทว่าเอดูอารด์ มิชแลงได้ปรับเปลี่ยนบทบาทของผู้บริหารมิชแลงด้วยการเปิดกว้างสู่ภายนอกบ้าง หากพ่อของเขาจะไม่เห็นด้วยกับนโยบายการทำงาน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ของรัฐบาลสังคมนิยมในอดีตโดยสิ้นเชิง แต่เอดูอารด์เข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจาต่อรองกับรัฐบาล

เอดูอารด์ให้ความสำคัญการส่งเสริมการขายและการโฆษณามาก เขาจึงให้มิชแลงเป็นสปอนเซอร์การแข่งรถฟอร์มูลาวัน ผลิตยางเครื่องบินคองคอร์ด (Concorde) เขาพยายามปรับภาพลักษณ์ของบริษัท ซึ่งดูลึกลับที่ผู้คนสัมผัสไม่ได้ให้เป็นบริษัทที่ใกล้ชิดกับสังคมมากขึ้น ดังนั้นในปี 2001 เขาจึงทำโครงการเปิดโรงงานที่แคลมงต์-แฟรองด์ให้ประชาชนเข้าชม

ธรรมเนียมปฏิบัติของมิชแลงคือผู้บริหารหมายเลขหนึ่งต้องมาจากตระกูลมิชแลงเท่านั้น หากภาวะปัจจุบันไม่อำนวยให้เป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ผู้เข้าบริหารต่อจากเอดูอารด์คือ มิเชล โรลลีเอร์ (Michel Rollier) ซึ่งเป็นผู้บริหารร่วมมาตั้งแต่ปี 2005 เป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูคนภายนอก หากคนในเท่านั้นที่รู้ว่าตระกูลโรลลีเอร์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับตระกูลมิชแลง ฟรองซัวส์ โรลลีเอร์ซึ่งเป็นพ่อของมิเชล เคยบริหารกิจการมิชแลงร่วมกับฟรองซัวส์ มิชแลง พ่อของเอดูอารด์ระหว่างปี 1966-1991

อันว่ามิเชล โรลลีเอร์นั้นมิใช่ลูกหม้อของมิชแลงแต่อย่างใด ด้วยว่าทำงานในโรงงานกระดาษ Aussedat-Rey ซึ่งในภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น International Paper France เป็นเวลา 33 ปี และเข้าทำงานกับมิชแลงเมื่อสิบปีที่แล้ว เริ่มจากการเป็นผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย ตามด้วยผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน ผู้บริหารร่วมอีกผู้หนึ่งคือเรอเน แซงกราฟ ซึ่งได้รับมอบหมายจากฟรองซัวส์ มิชแลง ให้ช่วยงานของเอดูอารด์ เรอเนทำงานกับมิชแลงกว่า 40 ปี เพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2006 นี้ว่า พร้อมที่จะปลดเกษียณเพราะบริษัทมีผู้บริหารที่สามารถแล้ว และเรอเนนี่เองที่สนับสนุนให้มิเชล โรลลีเอร์ขึ้นมาเป็นผู้บริหารอันดับสองของมิชแลง มาบัดนี้ มิเชล โรลลีเอร์เป็นผู้บริหารสูงสุดของมิชแลง เรอเน แซงกราฟ จะไม่ชักใยอยู่เบื้องหลังก็ใช่ที่ นั่นเป็นสิ่งที่คนในตระกูลมิชแลงกริ่งเกรงกันอยู่ ทว่าสิ่งที่แน่ๆ ก็คือมิชแลงไม่อาจมีผู้บริหารเพียงคนเดียวได้

ผู้บริหารใหม่จำต้องรีบเร่งสานต่อแนวทางที่เอดูอารด์ได้วางไว้ เช่น เน้นการผลิตยางรถยนต์สำหรับรถที่ขับเคลื่อนสี่ล้อมากกว่ายางรถยนต์ธรรมดาที่มีการแข่งขันสูง การเป็นสปอนเซอร์การแข่งรถฟอร์มูลาวัน ตั้งแต่ปี 2001 ให้กับทีมรถเรอโนลต์น่ายินดีที่ทีมนี้อันนำโดยแฟร์นันโด อลันโซ ได้รับชัยชนะในปี 2005 เมื่อเกิดความขัดแย้งกับสหพันธ์รถยนต์นานาชาติ เอดูอารด์ประกาศถอนตัวจากฟอร์มูลาวันในปี 2006

ปัจจุบันมิชแลงเป็นโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีส่วนแบ่งตลาดถึง 20.1 เปอร์เซ็นต์ มีผลประกอบการ 15,000 ล้านยูโร ในปี 2005 มีกำไรถึง 889 ล้านยูโร มีพนักงาน 130,000 คน เฉพาะในฝรั่งเศสมี 34,000 คน

กิจการข้างเคียงคือการพิมพ์หนังสือปกเขียว-Guide vert ที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยว และปกแดง-Guide rouge ที่เป็นเสมือนเชลล์ชวนชิม คัมภีร์ร้านอาหารอร่อยนั่นเอง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us