|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กรกฎาคม 2549
|
|
2526 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เปิดให้เอกชนเสนอเงื่อนไขเพื่อทำประโยชน์ในที่ดินของทรัพย์สินฯ เนื้อที่ 75 ไร่ บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ซึ่งแต่เดิมเป็นของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพชรบูรณ์อินทราชัย
บริษัทวังเพชรบูรณ์เป็นบริษัทในเครือของเตชะไพบูลย์เป็นผู้ประมูลได้ โดยบริษัทจะทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวเพื่อก่อสร้างศูนย์การค้าและศูนย์พาณิชยกรรมเป็นเวลา 30 ปี นับจากวันที่ก่อสร้างเสร็จสิ้นลง และจะต้องก่อสร้างให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 5 ปีนับจากวันที่ระบุในสัญญา (คือวันที่ 22 สิงหาคม 2526) บริษัทจะต้องจ่ายค่าตอบแทนจำนวน 390 ล้านบาท และเมื่อครบกำหนด 5 ปีนับแต่วันทำสัญญา บริษัทจะต้องจ่ายค่าเช่ารายปีให้แก่ทรัพย์สินฯ อีกดังนี้ ปีที่ 1-10 ค่าเช่าปีละ 240 ล้านบาท ปีที่ 11-20 ค่าเช่าปีละ 600 ล้านบาท ปีที่ 21-30 ค่าเช่าปีละ 1,500 ล้านบาท เมื่ออายุสัญญาเช่าสิ้นสุดลง บริษัทมีสิทธิ์ที่จะต่อสัญญาได้อีก 2 ครั้งครั้งละ 10 ปี
บริษัทวังเพชรบูรณ์มีทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ บริษัทนพกิจรวมทุน ธนาคารศรีนคร บริษัทไทยรวมทุน ซึ่งล้วนเป็นธุรกิจของเตชะไพบูลย์ทั้งสิ้น ที่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในนามส่วนบุคคลที่สำคัญคือ วิรุฬ เตชะไพบูลย์
โครงการเวิลด์เทรดเป็นโครงการที่บริษัทวังเพชรบูรณ์ จะดำเนินการก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าว โดยถือเป็นเวิลด์เทรดสาขาที่ 108 จากสมาชิกบริษัทซึ่งมีอยู่ 203 แห่งทั่วโลก
โครงการเวิลด์เทรดจะประกอบด้วยอาคารสำนักงานสูง 63 ชั้น โรงแรมชั้นหนึ่งขนาด 800 ห้อง อาคารพาณิชย์สำหรับห้างสรรพสินค้า 2 ห้าง นอกจากนั้นยังมีภัตตาคารจำหน่ายอาหารนานาชาติ อาคารอเนกประสงค์สำหรับประชุมระดับนานาชาติ ศูนย์พฤกษชาติ ศูนย์กีฬา พร้อมด้วยลานจอดรถจุถึง 5,000 คัน
แต่ ณ วันสิ้นเดือนมิถุนายน 2533 ล่วงเลยมาเกือบ 7 ปี เวิลด์เทรดเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปได้เพียงเฟสที่หนึ่งคืออาคารห้างสรรพสินค้าเพียง 1 ห้าง คือห้างเซ็นทรัลเท่านั้น จัดได้ว่าเป็นโครงการแรกๆ ที่เกิดขึ้นในระยะต้นๆ แต่ล่าช้ากว่าคนอื่นแบบหายห่วง!
สาเหตุแห่งความล่าช้านั้นเกิดขึ้นสองประการคือ เรื่องเงินกับเรื่องของตัววิรุฬเอง เรื่องเงินนั้น แม้เวิลด์เทรดจะมีธนาคารศรีนครหนุน แต่เมื่อสภาวะทางเศรษฐกิจไม่ดีนัก ผนวกกับปัญหาเรื่อง บงล.มหานครทรัสต์ และผลประกอบการของธนาคารที่ตกต่ำ ประกอบกับในช่วงปี 2526-2529 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไม่เฟื่องฟูขนาดนี้ การขายพื้นที่จึงเป็นไปได้เชื่องช้า เวิลด์เทรดจึงขาดสภาพคล่องพอสมควร
ครั้งหนึ่งไจก้าทำการศึกษาเรื่องเวิลด์เทรด เกี่ยวกับเงื่อนไขที่จะให้เวิลด์เทรดกู้ ข้อเสนอของไจก้าคือ หากเวิลด์เทรดจะต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินญี่ปุ่น โครงการเวิลด์เทรดจะต้อง หนึ่ง-ลดบทบาทในการบริหารงานของคนในตระกูลเตชะไพบูลย์ลง สอง-จะไม่ปล่อยกู้โดยตรง จะให้กู้ผ่านสถาบันการเงินแห่งอื่นที่น่าเชื่อถือในประเทศไทย
ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย เวิลด์เทรดจึงมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ก่อสร้างไปเรื่อยๆ
วิเชียรกล่าวยืนยันกับ "ผู้จัดการ" ว่า แม้โครงการเวิลด์เทรดจะโฆษณาตัวเองว่าลงทุนหมื่นล้าน แต่ก็คงไม่มีโครงการที่ไหนลงทุนรวดเดียวขนาดนั้น วิเชียรให้ตัวเลขเงินกู้ที่เวิลด์เทรดเอาไปจากศรีนครว่าอยู่ในระดับไม่กี่ร้อยล้าน
เมื่อเฟสแรกก่อสร้างเสร็จสิ้น หลังจากใช้เวลาถึง 7 ปี เฟสนี้ก็สามารถขายได้หมด ลูกค้ารายใหญ่คือเซ็นทรัล ประจวบกับภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คึกคักเป็นอย่างมาก จนไม่มีใครเป็นห่วงว่า เวิลด์เทรดจะมีปัญหาในเรื่องการขายอีกต่อไป เพียงแต่ว่าจะทำกำไรเท่าไรเท่านั้น
"ตอนนี้ในส่วนอาคารสูง 63 ชั้นนั้น เขายังไม่ขาย มันก็กำไรแน่ๆ เพียงแต่เขายังไม่กล้ากำหนดราคาขายที่ชัดเจน เพราะวัสดุก่อสร้างมันขึ้นไปสูงมาก" แหล่งข่าวยืนยัน
ที่คนเป็นห่วงก็คือยิ่งช้า อายุสัญญาเช่ามันก็หดสั้นลง ซึ่งจะทำให้กำไรลดน้อยลงไป ก็เท่านั้นเอง
นอกจากเรื่องเงิน ซึ่งดูจะบรรเทาเบาบางลงไป ปัญหาที่หลายคนเห็นพ้องต้องกัน วิธีการทำงานแบบธุรกิจครอบครัวที่เป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของเวิลด์เทรด ซึ่งก็หนีไม่พ้นคนในตระกูลเตชะไพบูลย์!
อุเทนนั่งเป็นประธานคณะกรรมการบริษัท ส่วนอำนาจการจัดการส่วนใหญ่อยู่ที่วิรุฬ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ หลายคนที่เคยทำงานกับวิรุฬต้องลาออกจากไปในเวลาอันสั้น เพราะทำงานกับวิรุฬไม่ได้!!!
คนที่มาทำงานร่วมกับวิรุฬเริ่มตั้งแต่ ผศ.รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่เป็นกุนซือด้านการวางแผนช่วงชิงที่ดินตรงนี้มาจนได้และเป็นสถาปนิกออกแบบโครงการ แต่ทำกันได้ไม่นาน วิรุฬก็เปลี่ยนใจไม่เอารังสรรค์ ไปเอาบริษัทยามาซากิจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ออกแบบเวิลด์เทรดที่นิวยอร์ก แล้วให้รังสรรค์เป็นซับคอนแทรค รังสรรค์ไม่ยอมและกลายเป็นการจุดประเด็นต่อต้านสถาปนิกต่างชาติมาหากินในเมืองไทยพักหนึ่ง และที่สุดรังสรรค์ฟ้องเรียกค่าเสียหายบริษัทวังเพชรบูรณ์เป็นเงิน 210 ล้านบาท ฐานผิดสัญญาว่าจ้าง คดีนี้ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2528 ปัจจุบันยังอยู่ในชั้นศาล
ต่อมาวิมล ผู้น้องมาช่วยด้านการตลาดให้กับพี่ชาย ปรากฏว่าทำได้พักเดียว วิมลก็ออกไปอีก
"วิรุฬต้องการให้เปิดตัวเร็วเพราะมาบุญครองกำลังจะขึ้นมาแล้ว แต่วิมลไม่เห็นด้วยเพราะอาคารโดยส่วนใหญ่ยังไม่เสร็จ และทั้งคู่ออกจะใจน้อยไปหน่อย เมื่อไม่เชื่อกัน วิมลก็เลยออก" แหล่งข่าวกล่าว
วิรุฬไปได้วีระชัย วรรณึกกุล มาเป็นที่ปรึกษา และสุเทพ ชวนะวิรัช นักการตลาดมือดีมาช่วย แต่ในที่สุดวีระชัยก็ไปเป็นที่ปรึกษาให้วิเชียรที่ศรีนคร สุเทพลาไปอยู่บางปูคันทรีคลับกับจิตรา ซึ่งก็อยู่ได้ไม่นาน ต้องระเห็จไปอยู่ซาฟารีเวิลด์อีก
ทวีศักดิ์ ปานะนนท์ เป็นนักการตลาดจากโอเรียนเต็ลพลาซ่า เป็นอีกคนที่มาแทน และวิเชียรก็ส่งสมบูรณ์ วรปัญญาสกุล น้องภรรยามาเป็นผู้จัดการทั่วไปคู่กับทวีศักดิ์ แต่พักเดียวทวีศักดิ์ก็ออก กลับไปอยู่ที่เดิม สมบูรณ์กลับไปทำด้านพัฒนาที่ดินให้กับวิเชียร
ดร.จิราวุธ วรรณศุภ ฉายา "ดร.เจ" รองผู้อำนวยการฝ่ายควบคุมการก่อสร้าง เพื่อนร่วมรุ่นสมัยโรงเรียนกรุงเทพ คริสเตียนกับวิรุฬก็ประกาศลาออก
"ผมอยู่มา 3 ปีครึ่ง โบนัสไม่เคยมี ความดีไม่ปรากฏขืนอยู่ต่อมันก็นานเกินไปที่ผมจะอุทิศมันสมองและแรงกายให้สี่สิบคนมาแล้วที่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันออกไปตั้งแต่เปิดโครงการมา ไม่ว่าจะเป็นเสมียนหรือคนทำงานระดับสูง" ดร.เจเคยกล่าวกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์"
แหล่งข่าวกล่าวว่าสาเหตุที่ ดร.เจไม่พอใจเรื่องหนึ่งคืออัตราเงินเดือน ทั้งที่ ดร.เจต้องรับผิดชอบโครงการมูลค่าหมื่นล้าน แต่เงินเดือนไม่ถึงแสนบาท
"ความเป็นเพื่อนมันกินกันไม่ได้หรอก" เขากล่าว
นอกจากนั้นวิเชียรยังมีมือไฟแนนซ์ที่ชื่อวงศ์ภูมิ วนาสิน มาร่วมทีมด้วย แต่ก็อยู่ไม่นานนัก และในที่สุดวิรุฬก็ไปได้สัตยาพร ตันเต็มทรัพย์ ซึ่งอยู่ฝ่ายต่างประเทศที่ศรีนครมาทำด้านต่างประเทศให้เวิลด์เทรด ซึ่งต่อมาสัตยาพรก็เลื่อนขึ้นมาเป็นผู้จัดการทั่วไป ซึ่งล่าสุดสัตยาพรก็ลาออกไปอยู่กับวงศ์ภูมิที่บริษัทราชธานีบ้านและที่ดินไปแล้ว
เรียกได้ว่า เวิลด์เทรดแห่งนี้เป็นสนามปราบเซียนจริงๆ!
"วิรุฬเป็นคนโผงผาง ตัดสินใจเร็ว แต่ก็ขี้ลืม บางทีสั่งลูกน้องแล้วลูกน้องไปทำตามแล้วมันเสียหาย แกกลับบอกว่าไม่ได้สั่ง" แหล่งข่าวกล่าว
"เขาก็ทำงานตามใจเขา บางทีนัดประชุมกรรมการทุกคนก็งานแยะแต่ก็มาคอยแก แล้วแกก็โทรมาบอกว่าไม่มาเฉยๆ แบบนี้บ่อย และตอนเปิดโครงการเฟสแรก เชิญนายกฯ ชาติชายมาเปิด ก็เกี่ยงกันเรื่องทำสไลด์มัลติวิชั่นราคา 3 แสน 5 หมื่นบาท คุณวิรุฬต่อเหลือ 3 แสน ตกลงกันไม่ได้ ก็เลยไม่มี" แหล่งข่าวอีกคนกล่าว
ความผันผวนของเวิลด์เทรดเกิดจากการตัดสินใจที่ไม่แน่นอนของวิรุฬ วิรุฬไม่ค่อยยอมรับเงื่อนไขของคนอื่นง่ายๆ ทั้งเรื่องสถาบันการเงินที่จะมาร่วมทุนก็ไม่ชัดเจนแน่นอนว่าจะเป็นใคร บริษัทผู้รับเหมาในหลายๆ ส่วนก็เปลี่ยนไปแล้วหลายเจ้า โรงแรมต่างประเทศที่จะมาลงที่เวิลด์เทรดก็เปลี่ยนได้เสมอ เช่น สวิสโฮเต็ลก็เพิ่งโบกมือลาไปหมาดๆ
"การตัดสินใจเพื่อลงทุนเพิ่มเติมล่าช้ามาก บางเรื่องที่คุณอุเทนต้องตัดสินใจก็ปล่อยไปก่อน ไม่ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรแน่ แกคงคิดแบบนายแบงก์ว่ายิ่งช้ายิ่งได้ดอกเบี้ย ท่านคงลืมไปว่าเป็นเงินของธนาคารท่านเอง" แหล่งข่าวคนหนึ่งหยอก
"เรื่องเวิลด์เทรดก็เป็นเรื่องของคนอีกนั่นแหละ ความล่าช้ามีหลายปัจจัยและมีไอเดียหลายอย่าง คุณก็อยากจะทำให้มันดีที่สุด ถ้าทำแบบเผด็จการมันก็ง่ายแต่ประชาธิปไตยมันก็หลายความคิด สไตล์การบริหารแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน" วิเชียรพยายามให้เหตุผลของความล่าช้า
บทเรียนจากนิคมอุตสาหกรรมบางปูที่ว่า "ยิ่งช้ายิ่งได้กำไร" อาจจะยังเป็นคำปลอบใจของคนในเตชะไพบูลย์ก็ได้ เพียงแต่ว่าครั้งนี้พวกเขาอาจจะลืมไปว่า สินค้าที่จะขายนั้นมันต่างกันและสาเหตุของความล่าช้านั้นก็ไม่เหมือนกัน บางทีเผลอๆ ที่ว่ายิ่งช้ายิ่งได้กำไร อาจจะเป็น "กำไร" ที่อยู่บนก้อนเมฆเหนืออาคาร 63 ชั้นที่ไม่รู้จะสร้างเสร็จเมื่อไร!!!
หมายเหตุ : เรื่องนี้ตีพิมพ์ลงในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับเดือนกรกฎาคม 2533
|
|
|
|
|