|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กบข.ยอมรับแนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนในปีนี้ลดลงเหลือ 4-5% เท่านั้น ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนให้ผลตอบแทนสูงถึง 6.8% “วิสิฐ”รับเศรษฐกิจทรุดจากปัญหาความไม่ชัดเจนทางการเมือง ส่งผลต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ ปัญหาราคาน้ำมัน และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูง ฉุดให้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนปรับลดตาม เล็งเพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้-หุ้น ในต่างประเทศ ยอมรับในช่วงต้นปีทยอยขายหุ้นทำกำไร หลังราคาทะยาน ชี้การที่ตลาดหุ้นไทยทรุดตัวต่อเนื่องส่งผลให้ราคาหุ้นในปัจจุบันน่าสนใจเข้าไปลงทุน
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลตอบแทนการลงทุนของกบข.ปีนี้คาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4-5% ลดลงจากก่อนหน้าที่คาดว่าผลตอบแทนการลงทุนจะอยู่ที่ 5-6% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ให้ผลตอบแทนสูงถึง 6.8% เนื่องจากการลงทุนได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัญหาการเมือง และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ปรับตัวลดลงตามต้นทุนที่สูงขึ้นของราคาน้ำมัน และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่ม โดยในปีนี้คาดว่าอัตราเติบโตของรายได้ของบริษัทที่ลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 5%
“การลงทุนของกบข.ในช่วงนี้ ได้มีการปรับกลยุทธ์การลงทุน โดยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศ หลังดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น และในขณะนี้ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว” นายวิสิฐกล่าว
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นต้องยอมรับว่า กบข.ได้มีการทยอยขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมาบางส่วนเพื่อทำกำไรในช่วงต้นปี เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลให้พอร์ตลงทุนหุ้นในประเทศปรับตัวเล็กน้อย และในขณะนี้การลงทุนในตลาดหุ้นของกบข.ก็ทยอยซื้อหุ้นเข้าพอร์ต เนื่องจากตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงในปัจจุบันถือว่า ราคาเหมาะสมกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่คาดว่าอัตราเติบโตของรายได้ และ P/E ที่อยู่ในระดับ 9-10 เท่า ก็ถือเป็นราคาที่สมเหตุสมผลกับผลประกอบการ
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กบข.อยู่ระหว่างการดำเนินการยื่นเรื่องต่อกระทรวงการคลัง เพื่อขอขยายเพดานการลงทุนในหุ้น จาก 20% เป็น 30% ซึ่งจะทำให้กบข.สามารถขยายสัดส่วนการลงทุนไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศได้เพิ่มมากขึ้น
“กบข.เป็นกองทุนขนาดใหญ่ ที่ต้องดูแลผลตอบแทนของสมาชิกในระยะยาว ซึ่งขณะนี้กำลังขยายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหนทางที่จะไปนั้น ก็สามารถทำได้และทุกฝ่ายก็มองว่าเป็นทิศทางที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม จะต้องรอหารือถึงรายละเอียดก่อนว่าจะขยายเพดานเป็นสัดส่วนเท่าใด”นายศุภรัตน์กล่าว
นายวิสิฐ กล่าวต่อถึงนโยบายการลงทุนในครึ่งปีหลังของกบข.ว่า จะให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ต่างประเทศมากขึ้น โดยจะลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ต่างประเทศ เพิ่มจาก 10% เป็น 12-13% ส่วนตลาดหุ้นในประเทศพอร์ตการลงทุนในหุ้นก็ไม่ได้ลดลง เพราะเพดานการลงทุนในตลาดหุ้นใกล้เต็มแล้ว โดยปัจจุบันเพดานการลงทุนตลาดหุ้นอยู่ที่ 20% ซึ่งปัจจุบันลงทุนใน 3 ส่วนคือ ลงทุนในตลาดหุ้น 12% ลงทุนทางเลือกในส่วนของหุ้นบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (ทีพีไอ) 5-6% และส่วนที่เหลือลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าใน 2-3 เดือน หลังจากที่กระทรวงการคลังอนุมัติเพิ่มเพดานการลงทุนในตลาดหุ้นจาก 20% เป็น 30% จะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นของกบข.มีความคล่องตัวมากขึ้น
“กลยุทธ์การลงทุนของกบข.ที่สำคัญจะให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ การลงทุนในตราสารหนี้เพิ่ม และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงานให้เช่า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการเพื่อเข้าไปลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด”
สำหรับสาเหตุที่ทำให้กบข.เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากมีเสถียรภาพมากกว่าตลดาหุ้นไทย เพราะตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังยังคงเผชิญปัญหาราคาน้ำมัน ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งทำให้ทิศทางการใช้งบประมาณไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ง่ายนัก ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยในปีนี้คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะขยายตัวในอัตรา 4-4.5% ส่วนแนวโน้มในปีหน้าคงต้องประเมินใหม่อีกครั้ง
นายวิสิฐ กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 เดือนข้างหน้าว่า ถ้าถามว่ามีความมั่นใจตลาดหุ้นไทยหรือไม่ คงต้องตอบว่ามั่นใจ แต่ปัจจัยพื้นฐานยังขึ้นอยู่กับรายละเอียดของแต่ละบริษัทว่ามีการปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่ม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงกับยอดขาย และต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นหัวใจที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอนาคตของผู้ประกอบการ เพราะต้องยอมรับว่าการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาทำให้ความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการลดลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า
|
|
|
|
|