Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 มิถุนายน 2549
"เทมาเส็ก"ติดหล่ม"แม้ว" 5 เดือนจ่ายค่าโง่ 9.5 หมื่นล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
โฮมเพจ เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์

   
search resources

ชินคอร์ปอเรชั่น, บมจ.
เทมาเส็ก โฮลดิ้งส์
Stock Exchange




เทมาเส็ก ติดกับดัก "ทักษิณ" แค่ 5 เดือนหลังซื้อหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลชินวัตร-ดามาพงษ์ มูลค่าเงินลงทุนหายไปแล้วเกือบ 9.5 หมื่นล้านบาท เหตุหุ้นกลุ่มชินคอร์ป "SHIN-ADVANC-SATTEL-CSL-ITV" กอดคอพากันร่วง มาร์เกตแคปหาย 1.3 แสนล้านบาท หรือกว่า 26% ด้านโบรกเกอร์ ยังต้องเผชิญมรสุมอีกหลายระลอกใหญ่ ทั้งเรื่องค่าปรับผิดสัญญาไอทีวี การแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์มือถือ และการยุบพรรคไทยรักไทย พร้อมแนะเลี่ยงการลงทุน ขณะที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เตรียมนำสรุปผลเข้าข่ายนอมินีหรือไม่เร็วๆ นี้

ย้อนรอยการเข้ามารุกเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจสื่อสารในประเทศไทยของกลุ่มทุนจากสิงคโปร์ นับเป็นการลงทุนซื้อขายขนาดใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในตลาดทุนไทยเกิดขึ้นในวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา การขายหุ้นใหญ่ในบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SHIN ของกลุ่มตระกูลชินวัตรและกลุ่มดามาพงษ์ จำนวน 1,487.74 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 49.59% ในราคาหุ้นละ 49.25 บาทมูลค่ารวมกว่า 7.3 หมื่นล้านบาทให้กับกลุ่มเทมาเส็ก จากสิงคโปร์ที่มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่

ภายหลังกลุ่มเทมาเส็กต้องซื้อหุ้นเพิ่มอีกจำนวน 1,418,125,239 ล้านหุ้น หรือ 46.51% ตามหลักเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรื่องการครอบงำกิจการ ซึ่งต้องใช้เงินทุนเพิ่มอีกเกือบ 7 หมื่นล้านบาท ทำให้มูลค่าการลงทุนกลุ่มเทมาเส็กรวมทั้งสิ้นกว่า 1.4 แสนล้านบาท

จากการทำรายการข้างต้นทำให้ปัจจุบันเทมาเส็กถือหุ้นใน บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น ผ่าน บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด จำนวน 1,571,510,534 หุ้น หรือ 51.98% และบริษัท แอสแพน โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 1,334,354,825 หุ้น หรือ 44.14% รวม 2,905,865,359 หุ้น หรือ 96.12%

ทั้งนี้ สิ่งที่เทมาเส็กได้รับพ่วงจากการเข้าซื้อหุ้นชินคอร์ป คือเงินลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนอีก 4 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC จำนวน 1,263,712,000 หุ้น หรือ 42.80%, บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL จำนวน 450,870,934 หุ้น หรือ 41.34%, บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV จำนวน 638,603,846 หุ้น หรือ 52.94% และบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL ซึ่งถือโดยบริษัท ชิน บอรดแบนด์ อินเตอร์เนต (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นบริษัทในเครือของ บมจ.ชินแซทเทลไลท์ จำนวน 250,099,990 หุ้น หรือ 40.02%

สำหรับราคาหุ้นทั้ง 5 บริษัท ณ วันที่มีการทำการรายการซื้อขายดังกล่าวหุ้น SHIN ราคาปิดที่ 48.25 บาท มูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ 144,741.96 ล้านบาท, ADVANC ราคาปิดที่ 104 บาท มาร์เกตแคป 306,917.66 ล้านบาท, SATTEL ราคาปิดที่ 15.50 บาท มาร์เกตแคป 16,906.75 ล้านบาท, CSL ราคาปิดที่ 4.04 บาท มาร์เกตแคป 2,525.00 ล้านบาท, หุ้น ITV ราคาปิดที่ 11.90 บาท มาร์เกตแคป 14,355.94 ล้านบาท รวมมูลค่ามาร์เกตแคปทั้ง 5 บริษัทอยู่ที่ 485,447.31 ล้านบาท (ดูตารางมูลค่าตามราคาตลาดประกอบ)

ขณะที่ราคาหุ้นล่าสุดวันที่ (23 มิ.ย.) เมื่อเทียบกับวันที่กลุ่มเทมาเส็กเข้ามาซื้อหุ้นชินคอร์ปต่อจากกลุ่มตระกูลชินวัตรและดามาพงษ์ ราคาหุ้น SHIN ปิดที่ 28 บาท ลดลง 20.25 บาท หรือ 41.96% มาร์เกตแคปอยู่ที่ 89,459.94 ล้านบาท ลดลง 55,282.02 ล้านบาท หรือ 38.19%, ADVANC ปิดที่ 84 บาท ลดลง 20 บาท หรือ 19.23% มาร์เกตแคปอยู่ที่ 247,926.49 ล้านบาท ลดลง 58,991.17 ล้านบาท หรือ 19.22% , SATTEL ปิดที่ 10.90 บาท ลดลง 4.60 บาท หรือ 29.67% มาร์เกตแคปอยู่ที่ 11,890.89 ล้านบาท ลดลง 5,015.86 ล้านบาท หรือ 29.67% , CSL ปิดที่ 3.72 บาท ลดลง 0.32 บาท หรือ 7.92% มาร์เกตแคป 2,325.00 ล้านบาท ลดลง 200.00 ล้านบาท หรือ 7.92%, ITV ปิดที่ 2.76 บาท ลดลง 9.14 บาท หรือ 76.8% มาร์เกตแคป 3,330.48 ล้านบาท ลดลง 11,025.46 ล้านบาท หรือ 79.80% รวมมูลค่ามาร์เกตแคป 5 บริษัทอยู่ที่ 354,932.80 ล้านบาท ลดลง 130,514.51 ล้านบาท หรือ 26.89%

หากพิจารณาผลขาดทุนของกลุ่มเทมาเส็กผ่านหลังการเข้ามาซื้อหุ้นบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ที่เข้ามาถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 2,905,865,359 หุ้น หรือ 96.12% รวมมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้านบาท (ราคาตกลงซื้อขายหุ้นละ 49.25 บาท) เทียบกับราคา ณ 23 มิ.ย. 49 หรือคิดเป็นระยะเวลาแค่ 5 เดือน พบว่า มูลค่าการลงทุนลดลงเหลือเพียงแค่ประมาณ 8.1 หมื่นล้านบาท หรือขาดทุนทางบัญชีไปแล้วเกือบ 6.2 หมื่นล้านบาท (ดูตารางมูลค่าการลงทุนกลุ่มเทมาเส็ก ประกอบ)

ขณะเดียวกันมูลค่าการลงทุนของบริษัทในเครืออีก 4 แห่งลดลงเช่นเดียวกัน (เทียบตามสัดส่วนการถือหุ้นผ่านบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น) คือ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ลดลงถึง 25,274.2 ล้านบาท, บมจ.ชินแซทเทลไลท์ ลดลง 2,074.0 ล้านบาท, บมจ.ไอทีวี ลดลง 5,817.7 ล้านบาท และบมจ.ซีเอส ล็อกซอินโฟ ลดลง 80.0 ล้านบาท เมื่อรวมระยะเวลา 5 เดือน กลุ่มเทมาเส็กขาดทุนมูลค่าทางบัญชีจากการถือหุ้นกลุ่มชินคอร์ปทั้ง 5 แห่งกว่า รวม 5 เดือนกลุ่มเทมาเส็กขาดทุนจากการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มชินคอร์ปเกือบ 9.5 หมื่นล้านบาท

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ภายหลังการเข้ามาถือหุ้นของกลุ่มเทมาเส็กในกลุ่มชินคอร์ป ต้องเผชิญปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อรายได้ของบริษัท เช่น ในกรณีบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส ต้องเผชิญกับกระแสการต่อต้านการใช้โทรศัพท์มือถือระบบ AIS เนื่องจากประชาชนยังติดใจเรื่องการนำสัมปทานที่บริษัทได้รับไปขายให้กับกลุ่มทุนจากต่างประเทศ รวมถึงสงครามราคาโทรศัพท์มือถือในช่วงที่ผ่านมาซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทโดยตรง

ขณะเดียวกัน ไอทีวี ยังต้องเผชิญสถานการณ์เกี่ยวกับการจ่ายค่าปรับหลังจากผิดสัญญาสัมปทาน ที่จะต้องจ่ายค่าปรับสูงกว่า 7.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากที่สุดบริษัทต้องรับผิดชอบค่าปรับดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อไอทีวีอย่างรุนแรง ชัดเจน และจะกระทบต่อเนื่องสู่บริษัทแม่ที่ถือหุ้นอย่างบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

พร้อมกันนี้ กลุ่มชินคอร์ปเองยังไม่สามารถสัดคราบของกลุ่มตระกูลชินวัตรออกไปได้ แม้ว่าจะมีการขายหุ้นในกลุ่มเทมาเส็ก แต่ยังเกิดกระแสข่าวที่ว่ากลุ่มชินวัตรกลับเข้าไปถือหุ้นในเทมาเส็กอีกครั้ง ดังนั้นปัจจัยด้านการเมืองที่ยังไม่คลี่คลายอยู่ในปัจจุบัน จึงยังเป็นปัจจัยลบต่อหุ้นในกลุ่มชินคอร์ป โดยเฉพาะประเด็นเรื่องจากการพิจารณายุบพรรคไทยรักไทย รวมถึงการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลที่ส่อเค้าว่าจะยังคงยืดเยื้อไปอีกนาน ซึ่งเป็นปัจจัยลบที่หนักหน่วงที่จะทำให้ราคาหุ้นในกลุ่มชินคอร์ปปรับตัวลดลงต่อไป

"ราคาหุ้นในกลุ่มชินคอร์ปทุกตัวปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก ถือว่าเป็นเพราะจิตวิทยาการลงทุน ดังนั้นนักลงทุนเองควรจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเข้าไปลงทุน ขณะที่โบรกเกอร์ทุกแห่งแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน เพราะเพราะยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอีกหลายเรื่อง" แหล่งข่าว กล่าว

ด้านนางสาวอรจิต สิงคาลวณิช อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวถึง ความคืบหน้าการตรวจสอบโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท กุหลาบแก้ว จำกัด เข้าข่ายมีพฤติกรรมถือหุ้นแทนต่างชาติ (นอมินี) หรือไม่ ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ของกรมกำลังจัดทำสรุปผลการตรวจสอบ หลังจากที่เรียกผู้เกี่ยวข้องมาสอบถามจนครบถ้วนแล้ว โดยคาดว่าผลการตรวจสอบจะสรุปได้ในเร็วๆ นี้ ก่อนนำเสนอไปยังนายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์เพื่อรับทราบต่อไป

"ตอนนี้คงยังบอกอะไรไม่ได้ว่าผลสอบจะออกมาอย่างไร แต่ข้อมูลที่ใช้ในการตรวจสอบได้ครบถ้วนหมดแล้ว ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังสรุปผลสอบให้เสร็จโดยเร็ว" นางสาวอรจิต กล่าว

รายงานจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งเพิ่มเติมว่า หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการดูข้อกฎหมาย ว่าบริษัทเหล่านี้ทำผิดกฎหมายประกอบธุรกิจคนต่างด้าวหรือไม่ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการในบริษัทที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่ส่งผลต่อการตรวจสอบ เพราะกรรมการเดิมยังมีอยู่ และไม่สามารถนำมาอ้างได้

"การตรวจสอบครั้งนี้ เพื่อดูว่าบริษัท กุหลาบแก้ว และซีดาร์ เข้าข่ายกระทำการในลักษณะถือหุ้นแทน เพื่อเลี่ยงกฎหมายธุรกิจคนต่างด้าว ที่ห้ามมิให้คนต่างชาติถือหุ้นในกิจการของคนไทยเกินกว่า 49% หรือไม่"

ทั้งนี้ หากตรวจสอบแล้วพบว่า มีการทำนอมินีจริง จะถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มาตรา 36 ที่ระบุว่า ผู้มีสัญชาติไทยหรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าว ที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจของตนแต่เพียงผู้เดียว หรือถือหุ้นแทน (นอมินี) จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 1 หมื่น ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และส่งเรื่องให้ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกการถือหุ้นดังกล่าว เลิกให้การช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือสั่งให้เลิกการร่วมประกอบธุรกิจ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us