หลังจากเตรียมการในด้านต่างๆ มานานกว่า 5 เดือน บริษัทเป๊ปซี่ โค ฟูดส์
ประเทศไทย จำกัด ภายใต้การบริหารงานของอภิรักษ์ โกษะโยธิน กรรมการผู้จัดการ
ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพื่อเดินหน้ารุกตลาดขนมขบเคี้ยวเมืองไทย
ด้วยเป้าหมายที่ท้าทายตัวเองยิ่งนัก
เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย เป็นสาขาของเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล
บริษัทในเครือที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลผลิตภัณฑ์ขนมเคี้ยวของบริษัท เปีปซี่
โค อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าอาหาร และเครื่องดื่มที่มียอดขาย ในปี 2537
มากกว่า 725,000 ล้านบาท
รายได้ของเป๊ปซี่ โค อิงค์ มาจากธุรกิจหลัก 3 ประเภท คือ เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว
และร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟูด แต่ในประเทศไทยแล้วรายได้ของเป๊ปซี่มาจาก 2 ธุรกิจเท่านั้น
คือ ธุรกิจเครื่องดื่ม ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง
จำกัด และธุรกิจฟาสต์ฟูด ที่คนไทยรู้จักกันดีอย่างร้านไก่ทอด "เคเอฟซี
" และ "พิซซ่าฮัท"
ส่วนธุรกิจขนมขบเคี้ยวนั้นพูดได้เต็มปากว่าเป๊ปซี่ยังไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจด้านนี้
แม้ว่าบริษัทเป๊ปซี่ โค อิงค์ จะเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์
จำกัด (มหาชน) เพื่อตั้งโรงงานผลิตขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยในนามบริษัทสยามสแน็ค
จำกัด ด้วยสัดส่วนการถือหุ้น 49% และ 51% ตามลำดับ เป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขนมขบเคี้ยวที่ผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของเป๊ปซี่เอง
คือ มันฝรั่งทอดกรอบตรา "เลย์" และข้าวโพดทอดกรอบตรา "ชีโตส"
ไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เทียบเท่ากับสินค้าที่พันธมิตรธุรกิจของเป๊ปซี่
โค อิงค์ ผลิตขึ้นมาจำหน่ายในชื่อ "ปาร์ตี้"
ว่ากันว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป๊ปซี่ โค อิงค์ อินเตอร์เนชั่นแนล
ตัดสินใจเข้ามาตั้งบริษัท เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย เพื่อเป็นแขนขาในการทำตลาดขนมขบเคี้ยวเองในช่วงเวลาที่ตลาดกำลังมีศักยภาพในการเติบโต
และมีการแข่งขันอย่างเข้มข้น
นายราเมซ แวนเกิล ประธานกรรมการ บริษัท เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล
ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งเดินทางมาร่วมงานเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการกล่าวว่า
เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เล็งเห็นถึงศักยภาพในการขยายตัวที่สูงของตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทย
ผนวกกับความสำเร็จอย่างสูงของเครื่องดื่มเป๊ปซี่ รวมทั้งเคเอฟซีและพิซซ่าฮัท
จึงมั่นใจว่าธุรกิจขนมขบเคี้ยวของบริษัทในเมืองไทยจะสามารถเจริญรุดหน้าด้วยดี
"ผมขอถือโอกาสนี้แนะนำคุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน กรรมการผู้จัดการของเป๊ปซี่
โค ฟูดส์ ประเทศไทย ซึ่งเคยดูแลการตลาดให้กับเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย
ซึ่งเคยดูแลการตลาดให้กับเป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้งมาก่อน ผลงานของเขาทำให้บริษัทภาคภูมิใจที่จะแต่งตั้งเขาเป็นผู้นำ
ซึ่งนอกจากการรุกตลาดในประเทศไทย คุณอภิรักษ์นี่แหละที่จะทำหน้าที่นำขนมขบเคี้ยวของเป๊ปซี่
โค ฟูดส์ เข้าสู่ตลาดอินโดจีน เช่นเดียวกับที่เคยทำให้เครื่องดื่มเป๊ปซี่มาแล้ว"
อภิรักษ์ดูจะเหมาะสมกับการเป็นผู้นำของเป๊ปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย อยู่มากดูได้จากประวัติการศึกษาและประสบการณ์ในการทำงานของเขา
กล่าวคือ อภิรักษ์จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
วิชาเอกวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร จบเอ็มบีเอจากนิด้า และได้ผ่านหลักสูตร
Strategic Marketing Planning Program จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
ด้านการทำงานเขาเริ่มต้นที่บริษัท พิซซ่าฮัท (ไทย) จำกัด ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ
เป็นระยะเวลา 1 ปี จึงย้ายไปอยู่กับลินตาส เวิลด์ไวด์ จำกัด เริ่มจากตำแหน่ง
Management Trainee ก่อนจะไป ตำแหน่ง Account Manager เพื่อไปนั่งเป็น Accoumt
Director ที่ดามาสก์ แอดเวอร์ไทซิ่ง อยู่ 2 ปี
เขาก้าวสู่วงการน้ำอัดลมเมื่อปี 2533 เริ่มต้นจากการเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดดูแลผลิตภัณฑ์น้ำสีที่บริษัทเปีปซี่-โคล่า
(ไทย) เทรดดิ้ง ก่อนขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด
ดูแลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามลำดับ จนกระทั่งเดือนธันวาคม 2537 ที่ผ่านมา
เขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัด บริษัท เป๊ปซี่ โค ฟูดส์
ประเทศไทย จำกัด
แม้ว่าคุณสมบัติและความสามารถของเขาจะเพียบพร้อม แต่รับรองได้ว่าอภิรักษ์ต้องเหนื่อยแน่ๆ
กับการสร้างผลงานให้เป็นที่พอใจของบริษัทแม่ เพราะดูเหมือนว่าเป๊ปซี่ โค
ฟูดส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จะตั้งความหวังกับประเทศไทยไว้มาก
ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายการขยายตลาดให้ใหญ่โตเทียบเท่ากับตลาดน้ำอัดลม โดยตั้งเป้าการขายในประเทศ
และส่งออกไว้สูงถึง 10,000 ล้านบาท ในระยะเวลา 7-10 ปีข้างหน้า โดยต้องเริ่มต้นจากยอดขายประมาณ
300 ล้านบาทในปี 2528
เพราะบริษัทแม่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นประเทศตัวอย่างในการสร้างตลาดให้กับประเทศอื่นๆ
ในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าจะเป็นจีน หรืออินเดีย
ปัจจุบันตลาดขนมขบเคี้ยวในประเทศไทยมีมูลค่า 4,500 ล้าน ซึ่งยังห่างไกลจากตลาดเครื่องดื่มมาก
ผิดกับสหรัฐอเมริกาที่ 2 ตลาดมีขนาดใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
อัตราการเติบโตของตลาดสูงถึงปีละ 35% ทั้งๆ ที่ไม่มีการกระตุ้นอย่างจริงจังและเป็นระบบ
"เราต้องการทำให้ขนมขบเคี้ยวเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้บริโภคคนไทย
โดยวางแผนที่จะเข้าไปเจาะผู้บริโภคทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็น เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่
แม้กระทั่งคนสูงอายุ ด้วยสินค้าที่เหมาะสม" อภิรักษ์กล่าวถึงแผนการตลาดซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งในการสร้างตลาด
นอกเหนือจากเรื่องเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการวางระบบการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง
โดยในส่วนของเทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้น เป๊ปซี่ โค ฟูดส์ มีศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่อยู่ที่สหรัฐอเมริกาซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยเงินปีละ
5,000-7,500 ล้านบาทเป็นฐานในการพัฒนาหลักอยู่แล้ว รวมทั้งยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนาย่อยๆ
ในแต่ละประเทศ ที่จะนำเทคโนโลยีจากบริษัทแม่มาปรับใช้อีกด้วย สำหรับระบบการจัดจำหน่ายนั้นยังนับว่าอยู่ในระยะเริ่มต้น
เพราะเปีปซี่ โค ฟูดส์ ประเทศไทย เพิ่งโอนเลย์และชีโตสจากบริษัท เบอร์ลี่
ยุคเกอร์ มาจัดจำหน่ายเอง เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยการจัดตั้งทีมขายขึ้นมา
2 ทีม คือ ทีมโมเดิร์น เทรด และทีมโฮลเซลส์ เริ่มจากพนักงานขาย 40 คน แต่ก็เชื่อว่าเงินลงทุนไม่ต่ำกว่าปีละ
200 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ได้ไม่ยาก
ส่วนแผนการบุกตลาดอินโดจีนนั้น ขณะนี้ได้มีการส่งทีมเข้าไปสำรวจตลาดในประเทศเวียดนามแล้ว
คาดว่าภายในปลายปี 2538 หรือต้นปี 2539 ก็จะเริ่มส่งสินค้าเข้าไปทำตลาดได้
แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมไว้อย่างพร้อมสรรพ แต่ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยที่ผู้ประกอบการท้องถิ่นทำให้ยักษ์ใหญ่ต้องเจ็บตัว
ซึ่ง "อภิรักษ์" คงไม่ต้องการสร้างตำนานบทนี้ให้แก่เป๊ปซี่ โค
ฟูดส์