บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)มองกรอบดัชนีครึ่งปีหลัง 49 เคลื่อนไหวระหว่าง 630-790 จุด พร้อมคาดสิ้นปีเหนือ 715 จุด เผยปัจจัยนอกประเทศจะเป็นตัวหนุนตลาดหุ้น เหตุปัจจัยในประเทศเป็นลบทั้งหมด ย้ำจับตาอัตราดอกเบี้ย-เงินเฟ้อ รวมถึงการไหลออกของเงินฉุดดัชนีร่วงถึง 560-600 จุด เชื่อปี 50ตลาดหุ้นไทยถึงจุดพลิกกลับมาดีอีกครั้งเหตุราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำยวนการส่วนวิจัย และกลยุทธการลงทุนฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KGI กล่าวถึงมุมมองดัชนีตลาหลักทรัพย์ในเชิงกลยุทธ์ครึ่งปีหลังของปี 2549 ว่า กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีน่าจะอยู่ในช่วง 630 - 790 จุด โดยคาดว่าสิ้นปีดัชนีจะสามารถยืนเหนือระดับ 715 จุดได้
ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้การคาดการณ์ผิดพลาดและอาจจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปที่ระดับ 560-600 จุด มี 2 ประการ คือ การไหลออกต่อเนื่องด้วยปัจจัยทางเทคนิค เช่นพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติและความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ย อัตราปันผลและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP)
ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอได้คาดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนจะอยู่ที่ 4.25% ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 4.50% ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 3.34% ซึ่งหากเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์จะส่งผลทำให้เกิดการไหลออกของเงินจากตลาดทุนเข้ามาสู่ตลาดเงินมากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับจากการฝากเงินสูงกว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ความกังวลเรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา น่าจะได้ข้อยุติถึงแนวโน้มและความชัดเจนว่าหลังจากนี้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร โดยเชื่อว่าการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงปลายเดือนนี้หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์และมีข้อยุติที่ชัดเจนจะมีเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย
นายอดิศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการประเมินมูลค่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์เชิงพื้นฐาน มองจุดต่ำสุดของดัชนีในปีนี้อยู่ที่ 630 จุด และจุดสูงสุดอยู่ที่ 750 จุด ขณะที่หากประเมินตามเทคนิคจุดต่ำสุดของดัชนีในปีนี้อยู่ที่ 640 จุด และจุดสูงสุดอยู่ที่ 790 จุด โดยค่าเฉลี่ยเท่ากับ 703 จุด
ทั้งนี้ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งแบ่งเป็นปัจจัยในประเทศ เช่น ปัญหาทางการเมือง ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าในวันที่ 15 ตุลาคมนี้จะสามารถจัดการเลือกตั้งได้หรือไม่ ปัญหาสภาพคล่องในระบบการเงิน และอัตราเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ซึ่งทุกปัจจัยถือว่าเป็นปัจจัยขณะที่ปัจจัยเรื่องการระบาดของโรคในช่วงฤดูผนยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่
“หากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 703 จุด ถือเป็นระดับที่ไม่ปกติ และถือว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก” นายอดิศักดิ์กล่าว
ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นตัวที่ช่วยในการขับเคลื่อนประกอบด้วย ราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับใดซึ่งหากสูงกว่า 60 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยรวม, อัตราแลกเปลี่ยนซึ่งหากค่าเงินหยวนยังแข็งค่าขึ้นจะส่งผลดีต่อภูมิภาคเอเชีย ขณะที่เรื่องการเปิดเขตการค้าเสรีอาจจะต้องชลอออกไปเนื่องจากยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลได้
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นจะสามารถกลับมาคึกคักอีกครั้งได้หรือไม่ จะต้องอาศัยปัจจัยนอกประเทศเข้ามาหนุนมากขึ้น เพราะปัจจัยในประเทศเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อดัชนีตลาดหุ้นทั้งนั้น
นายอดิศักดิ์ กล่าวอีกว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 2549 คาดว่าจะอยู่ที่ 508,928 ล้านบาท ลดลงจากปี 2548 ซึ่งอยู่ที่ 539,834 ล้านบาทหรือลดลง 5.7% โดยกลุ่มที่บล.เคจีไอให้ความสนใจในการเข้าลงทุน เนื่องจากมีผลกำไรสุทธิเติบโตดีและขนาดของกลุ่มมากกว่า 1% ของตลาดรวม คือกลุ่มพาณิชย์ คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 27.6%. กลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์ คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 20.7%, กลุ่มพลังงาน คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 14%,กลุ่มโรงพยาบาล คาดกำไรสุทธิเติบโต 7.8%, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดกำไรสุทธิเติบโต 7.7%
ในส่วนของกลุ่มที่จะต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุน ประกอบด้วยกลุ่มธนาคารคาดกำไรสุทธิเติบโตลดลง 6.7% เนื่องจากจะต้องรับภาระการจ่ายภาษี, กลุ่มที่ดินคาดกำไรสุทธิเติบโตลดลง 9.8% เนื่องจากยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า
|