Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน22 มิถุนายน 2549
เคจีไอคาดดัชนีสิ้นปีเหนือ715จุดจับตาดอกเบี้ย-เงินเฟ้อฉุดหุ้นร่วง             
 


   
www resources

โฮมเพจ เคจีไอ (ประเทศไทย)

   
search resources

เคจีไอ (ประเทศไทย), บล.
Stock Exchange




บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)มองกรอบดัชนีครึ่งปีหลัง 49 เคลื่อนไหวระหว่าง 630-790 จุด พร้อมคาดสิ้นปีเหนือ 715 จุด เผยปัจจัยนอกประเทศจะเป็นตัวหนุนตลาดหุ้น เหตุปัจจัยในประเทศเป็นลบทั้งหมด ย้ำจับตาอัตราดอกเบี้ย-เงินเฟ้อ รวมถึงการไหลออกของเงินฉุดดัชนีร่วงถึง 560-600 จุด เชื่อปี 50ตลาดหุ้นไทยถึงจุดพลิกกลับมาดีอีกครั้งเหตุราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำยวนการส่วนวิจัย และกลยุทธการลงทุนฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KGI กล่าวถึงมุมมองดัชนีตลาหลักทรัพย์ในเชิงกลยุทธ์ครึ่งปีหลังของปี 2549 ว่า กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีน่าจะอยู่ในช่วง 630 - 790 จุด โดยคาดว่าสิ้นปีดัชนีจะสามารถยืนเหนือระดับ 715 จุดได้

ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้การคาดการณ์ผิดพลาดและอาจจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปที่ระดับ 560-600 จุด มี 2 ประการ คือ การไหลออกต่อเนื่องด้วยปัจจัยทางเทคนิค เช่นพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติและความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ย อัตราปันผลและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP)

ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอได้คาดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนจะอยู่ที่ 4.25% ขณะที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 4.50% ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะอยู่ที่ 3.34% ซึ่งหากเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์จะส่งผลทำให้เกิดการไหลออกของเงินจากตลาดทุนเข้ามาสู่ตลาดเงินมากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนที่ได้รับจากการฝากเงินสูงกว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ความกังวลเรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา น่าจะได้ข้อยุติถึงแนวโน้มและความชัดเจนว่าหลังจากนี้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะเป็นอย่างไร โดยเชื่อว่าการประชุมของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงปลายเดือนนี้หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์และมีข้อยุติที่ชัดเจนจะมีเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย

นายอดิศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการประเมินมูลค่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์เชิงพื้นฐาน มองจุดต่ำสุดของดัชนีในปีนี้อยู่ที่ 630 จุด และจุดสูงสุดอยู่ที่ 750 จุด ขณะที่หากประเมินตามเทคนิคจุดต่ำสุดของดัชนีในปีนี้อยู่ที่ 640 จุด และจุดสูงสุดอยู่ที่ 790 จุด โดยค่าเฉลี่ยเท่ากับ 703 จุด

ทั้งนี้ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งแบ่งเป็นปัจจัยในประเทศ เช่น ปัญหาทางการเมือง ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าในวันที่ 15 ตุลาคมนี้จะสามารถจัดการเลือกตั้งได้หรือไม่ ปัญหาสภาพคล่องในระบบการเงิน และอัตราเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย ซึ่งทุกปัจจัยถือว่าเป็นปัจจัยขณะที่ปัจจัยเรื่องการระบาดของโรคในช่วงฤดูผนยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่

“หากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 703 จุด ถือเป็นระดับที่ไม่ปกติ และถือว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก” นายอดิศักดิ์กล่าว

ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นตัวที่ช่วยในการขับเคลื่อนประกอบด้วย ราคาน้ำมันในตลาดโลกว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับใดซึ่งหากสูงกว่า 60 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลจะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน แต่จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยรวม, อัตราแลกเปลี่ยนซึ่งหากค่าเงินหยวนยังแข็งค่าขึ้นจะส่งผลดีต่อภูมิภาคเอเชีย ขณะที่เรื่องการเปิดเขตการค้าเสรีอาจจะต้องชลอออกไปเนื่องจากยังไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลได้

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นจะสามารถกลับมาคึกคักอีกครั้งได้หรือไม่ จะต้องอาศัยปัจจัยนอกประเทศเข้ามาหนุนมากขึ้น เพราะปัจจัยในประเทศเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อดัชนีตลาดหุ้นทั้งนั้น

นายอดิศักดิ์ กล่าวอีกว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 2549 คาดว่าจะอยู่ที่ 508,928 ล้านบาท ลดลงจากปี 2548 ซึ่งอยู่ที่ 539,834 ล้านบาทหรือลดลง 5.7% โดยกลุ่มที่บล.เคจีไอให้ความสนใจในการเข้าลงทุน เนื่องจากมีผลกำไรสุทธิเติบโตดีและขนาดของกลุ่มมากกว่า 1% ของตลาดรวม คือกลุ่มพาณิชย์ คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 27.6%. กลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์ คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 20.7%, กลุ่มพลังงาน คาดว่ากำไรสุทธิเติบโต 14%,กลุ่มโรงพยาบาล คาดกำไรสุทธิเติบโต 7.8%, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดกำไรสุทธิเติบโต 7.7%

ในส่วนของกลุ่มที่จะต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุน ประกอบด้วยกลุ่มธนาคารคาดกำไรสุทธิเติบโตลดลง 6.7% เนื่องจากจะต้องรับภาระการจ่ายภาษี, กลุ่มที่ดินคาดกำไรสุทธิเติบโตลดลง 9.8% เนื่องจากยอดขายไม่เป็นไปตามเป้า   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us