เพราะการเติบโตแบบก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมไทยด้านปิโตรเคมี, ปูนซีเมนต์,
โรงกลั่นน้ำมัน ไปจนถึงโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า ทำให้เราหนีไม่พ้นปัญหาขาดแคลนบุคลากรเหมือนดั่งได้เกิดกับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์
และโทรคมนาคมมาแล้วอย่างวิกฤติ แม้ในระยะสั้นจะแก้ปัญหาได้บ้างโดยใช้แรงงานสาขาใกล้เคียง
และแรงงานนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ระยะยาวยังถือว่าน่าเป็นห่วง
"TPI Institute of Technology = TPIT" หรือในชื่อภาษาไทยว่า
โรงเรียนเทคโนโลยีทีพีไอ (ทีพีไอเทค) สถาบันที่ทีพีไอกรุ๊ป รังสรรค์มาเป็นยาบรรเทาอาการด้านพลังงานในระยะ
2-3 ปีข้างหน้า และเตรียมการวางรากฐานหลักสูตร เพื่อเสริมทัพสู้ศึกวิกฤติการณ์แรงงานด้านนี้อีกในอนาคต
ซึ่งไม่เพียงจะป้อนให้เฉพาะค่ายตัวเองเท่านั้น ค่ายอื่นๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ
ทีพีไอก็ยังวาดหวังไว้อย่างไม่ลำเอียง
พลเอกสืบ อักษรานุเคราะห์ ประธานกรรมการบริหารทีพีไอเทค ซึ่งเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับวงการการศึกษามานาน
กล่าวถึงจุดประสงค์ของการตั้งโรงเรียนในเขตอุตสาหกรรมระยองนี้ว่า "ส่วนหนึ่งเพื่อช่วยคนในท้องถิ่นให้ได้มาทำงานใกล้บ้านเป็นการลดการอพยพ
ลดการย้ายถิ่นฐานด้วย โดยโรงเรียนมีโครงการที่จะสร้างหอพักให้เด็กนอกพื้นที่ด้วย
และในโอกาสข้างหน้า เรามีแผนเปิดในระดับปริญญา แต่ทั้งนี้ต้องดูในชั้นต้นก่อนว่าจะสามารถทำได้มากน้อยแค่ไหน"
ส่วนปัญหาที่ว่า ทำไมทีพีไอถึงไม่ร่วมทำโครงการโรงเรียน-โรงงานกับโรงเรียนช่างที่มีอยู่แล้วในจังหวัด
กรรมการโรงเรียนท่านหนึ่งแจงว่านี่เป็นปัญหาในทางการจัดการที่ยุ่งยากลำบาก
ควบคุมไม่ได้ และไม่สามารถกำหนดนโยบายอะไรได้ อีกทั้งตัวบทกฎหมายก็ยังไม่มีรองรับ
ที่สำคัญรัฐก็ไม่สามารถนำเงินมาลงทุนได้เพียงพอ เพราะขณะที่เงิน 100 บาทที่รัฐเก็บจากนักเรียนขณะนี้
คิดแล้วเป็นค่าเงินเดือนครูตั้ง 80 กว่าบาท ไม่สามารถทำโรงเรียนเช่นเราได้ได้แน่
การส่งเสริมให้ภาคเอกชนได้ลงทุนจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (มหาชน) หรือทีพีไอ
เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า "ทีพีไอเทคเกิดขึ้นจากนโยบายรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรม
ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกที่ขณะนี้มีโรงงานถึง 8,000 กว่าแห่ง แรงงานกว่า
300,000 คน ทว่าแรงงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่ต้องนำมาฝึกอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากยังไม่มีสถาบันใดผลิตแรงงานด้านพลังงานหรือปิโตรเคมีได้โดยตรง
ทีพีไอเทคจึงถือเป็นการสนองความต้องการแรงงานเฉพาะด้านได้ตรงจุดที่สุด โดยเป็นไปในลักษณะการเรียนการสอนแบบโรงเรียน-โรงงาน"
ชั้นต้นกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่างทั้งหลักสูตร อาคารโรงเรียน ครูผู้สอนและเจ้าหน้าที่ต่างๆ
ก็เล่นเอาคณะกรรมการโรงเรียนหลายท่านต้องแก้เกมประชาสัมพันธ์กันมากกว่าปกติ
เพราะผู้ปกครองหลายท่านยังเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า การเรียนไปและฝึกงานปฏิบัติจริงในโรงงานของทีพีไอกรุ๊ปจะสอนสู้โรงเรียนในภาคปกติไม่ได้
"แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว คนที่เรียนในภาคปกติ ผมว่าจะสู้คนที่เรียนในระบบโรงเรียน-โรงงานไม่ได้
เพราะการฝึกงานในสถานที่จริงกับการฝึกงานในห้องทดลองที่โรงเรียนทั่วไปปฏิบัติอยู่ย่อมแตกต่างกันมาก"
วรเทพ ติยะเจริญศรี ผู้จัดการโรงงานทีพีไอหนึ่งในคณะกรรมการโรงเรียนทีพีไอเทค
บอกเล่ากับ "ผู้จัดการ" และพูดถึงหลักสูตรที่สอนว่า ในแต่ละห้องแต่ละชั้นยังจะแบ่งแยกย่อยเป็นสาขาแต่ละแขนงอีก
การจะให้คนคนเดียวรู้ทั้งหมดทุกส่วนของอุตสาหกรรมต่อเนื่องทีพีไอคงเป็นไปไม่ได้
เพราะจะหนักเกินไป เราจึงแบ่งกลุ่มศึกษาแต่ละแขนงไปอีกครั้งหรือพูดง่ายๆ
คือ จะแบ่งเป็นรายวิชาอาชีพให้เด็กเลือกอีกทีนั่นเอง
ซึ่งหลักสูตรที่เปิดมี 2 ระดับคือ ปวช.และปวส. ในส่วนของปวช.เปิดสอน 4
สาขา คือช่างยนต์, ช่างกลโรงงาน, ช่างไฟฟ้า, ช่างอิเล็กทรนิกส์
ส่วนปวส.จะเปิดเช่นเดียวกับปวช.แต่จะเพิ่มช่างเทคนิคอุตสาหกรรมอีกสาขาหนึ่ง
ซึ่งในทุกช่างยังสามารถเลือกได้อีกว่าจะฝึกด้านปิโตรเคมี, ปูนซีเมนต์, โรงกลั่นน้ำมัน
หรือโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า
โดยความแตกต่างกับโรงเรียนช่างทั่วไปนั้น พลเอกสืบสรุปว่า "ไม่แตกต่างกันนัก
หลักสูตรก็ใช้ของสถาบันราชมงคลที่กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตแล้ว ทั้งนี้เพื่อที่ว่าเมื่อเด็กจบไปแล้ว
รัฐจะได้รับรอง และสามารถเข้างานที่ไหนแบบการเรียนการสอนของโรงเรียนทั่วไป
มักจะต้องผ่านทฤษฎีประมาณ 4-5 เทอม ก่อนถึงจะได้ฝึกจริง ทำให้เด็กต่อภาพภาคทฤษฎี
และปฏิบัติลำบาก จำไม่ค่อยได้แต่ทีพีไอเทค จะสอนทฤษฎีควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริงในโรงงานเลย
เมื่อเรียนถึงเรื่อง หรือขั้นตอนไหนจะมีการจัดบุคลากรพิเศษ ที่มีความชำนาญเฉพาะด้านมาช่วยอธิบายหลังจากอาจารย์ประจำให้ความรู้ทางทฤษฎีเสร็จแล้ว
ซึ่งก็คือทีมงานของทีพีไอกรุ๊ปตามสายงานการทำงานต่างๆ นั่นเอง
"เราจะไม่รอให้เด็กเรียนทฤษฎีจบไปนานแล้วค่อยมาฝึกจริง โรงเรียน-โรงงานของเราจะช่วยให้เด็กได้หลอมรวมระหว่างทฤษฎีและปฏิบัติเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างกลมกลืน"
อาจารย์วิเชียร พันธ์เครือบุตร รองอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาการกล่าว
ทั้งนี้ปีการศึกษาแรกที่จะเริ่มเดือนมิถุนายน 2538 เป็นการรับในระดับปวช.480
คนน และระดับปวส. 400 คน ซึ่งจำนวนนักเรียนทั้งหมดกับครูจะอยู่ในอัตราประมาณ
12 ต่อ 1 โดยหลักจากที่ผู้ปกครองและเด็กในจังหวัดเข้าใจนโยบายทีพีไอเทคแล้ว
ปรากฏว่ายอดสมัครสอบคัดเลือกมีเขามามากถึง 3 เท่าของจำนวนรับทั้งสองระดับ
"ที่รับจำนวนจำกัด เพราะความสามารถเรามีเท่านี้ เรามิได้เปิดมาเพื่อหวังว่าจะค้ากำไรได้มากน้อยแค่ไหน
แต่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถช่วยประเทศชาติได้เท่านั้น โดยเฉพาะช่วยลดปัญหาบุคลากรด้านนี้มากกว่าที่จะเป็นผลกำไรตอบสนองกลับมาเป็นการตอบแทนให้แก่สังคม"
พลเอกสืบกล่าว
ในระยะแรกเริ่ม แน่นอนน่าจะเป็นการป้อนให้แก่กลุ่มทีพีไอกรุ๊ปได้อย่างดีเพราะดูโครงการต่างๆ
มีมากเหลือเกินตั้งแต่ โรงกลั่นระยองที่จะเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า มูลค่าประมาณ
1,500 ล้านดอลลาร์ (37,500 ล้านบาท) โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกโพลีพ็อพพีลีน
(พีพี) ในอินเดีย, โครงการในระหว่างการดำเนินการที่ประเทศฟิลิปปินส์คือโครงการผลิตเม็ดพลาสติกพีพี
พีวีซี พีอี วีซีเอ็ม และก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์, โรงปูนซีเมนต์ในประเทศลาว
แต่ในอนาคตเป็นที่คาดว่าทีพีไอเทคนี้จะสามารถลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานด้านอุตสาหกรรมปิโตรเคมี,
ปูนซีเมนต์, โรงกลั่นน้ำมันหรือโรงผลิตกระแสไฟฟ้า ที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นได้แน่นอน
แต่แม้จะมีทีพีไอเทคเกิดขึ้นอีกสัก 3 หรือ 4 แห่งก็คงไม่สามารถสนองตอบความต้องการของตลาดแรงงานนี้ได้อย่างเพียงพอ
ฉะนั้นทีพีไอเทคจึงถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากที่สุด