|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหนังไทยรวมครึ่งปีแรกลดลง 8% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ทั้งๆที่ปริมาณหนังมากกว่า สาเหตุหนังทำเงินมากมีน้อยกว่า ชี้ครึ่งปีหลังทิศทางดีขึ้นคาดหนัง เรื่องนเรศวร ช่วยกระตุ้นยอดรวมโต จีทีเอช ครวญยอดหาย 20% จากเป้าที่วางไว้ 700 ล้านบาท หลังฉายหนังได้เพียง 6 เรื่องจากที่วางแผนไว้ 7 เรื่อง ล่าสุดเตรียมอัดหนัง 5 เรื่องกระตุ้นรายได้
นายวิสูตร พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีทีเอช จำกัด เปิดเผยถึง ภาพรวมของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ว่า โดยภาพรวมแล้วตลาดรวมมีอัตราการเติบโตที่ลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีของปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ตลาดรวมในช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมามีหนังไทยเข้าฉายจำนวน 17 เรื่อง มีรายได้รวมกว่า 494 ล้านบาท แต่ปรากฏว่ามูลค่ารวมในช่วงครึ่งปีนี้กลับมีอัตราที่ลดลงในขณะที่จำนวนเรื่องที่เข้าฉายมีจำนวนที่มากกว่าด้วยซ้ำไปคือมีประมาณ 19 เรื่อง แต่กลับพบว่ามียอดรายได้เพียง 455 ล้านบาทเท่านั้น มูลค่าตลาดรวมลดลงถึง 8% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ยอดรายได้รวมครึ่งปีแรกของหนังไทยในปีนี้ลดลงเป็นเพราะหนังมีจำนวนมากกว่าก็จริง แต่เป็นหนังที่ทำเงินมากกลับมีน้อยมากถ้าเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในช่วงระยะเวลา 4 เดือนแรกภาพยนตร์ที่สามารถทำเงินได้จำนวนมากมีเพียงเรื่อง เด็กหอ และ หลวงพี่เท่ง เพียง 2 เรื่องเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามเมื่อผ่านเข้าช่วงต้นเดือนมิถุนายน ปรากฎว่าหนังทำเงินเริ่มมีเข้ามาบ้างแล้วทำให้สามารถสร้างยอดคนดูเพิ่มขึ้นบ้างเช่น เรื่องรักจังและเรื่องหนูหิ่น เดอะ มูฟวี่ เข้ามาฉายในช่วงเดือนนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้กระตุ้นตลาดได้
“ผมมองว่า ในช่วงครึ่งปีหลังอุตสาหกรรมหนังไทยจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะยังมีภาพยนตร์อีกหลายเรื่องรอเข้าฉายอีกมากจะทำให้พฤติกรรมของผู้ที่เข้ามาชมภาพยนตร์จากเดิมจะมีความถี่ในการเข้ามาชมภาพยนตร์ 2 ครั้งต่อเดือนกลับมาเข้าชม 1 เรื่องต่อสัปดาห์ อีกทั้งยังมีภาพยนตร์ไทยฟอร์มใหญ่เข้าฉาย อาทิ พระนเรศวร ที่รอคิวเข้าฉายในช่วงปลายปี ซึ่งเรื่องพระนเรศวรอาจทำให้ส่วนแบ่งของภาพยนตร์ไทยจากตลาดรวมทั้งหมดมีแชร์ขยับขึ้นจากเดิม จากที่ภาพยนตร์ไทยมีแชร์ในตลาดอยู่ 30% หรือมีมูลค่ากว่า 400 -500 ล้านบาทขยับเพิ่มจากเดิม อีก 6-7% หรืออาจเพิ่มขึ้นเป็น 40% ก็เป็นได้”
สำหรับภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูงสุดในช่วงครึ่งปีแรกนี้มีดังนี้ 1.ก้านกล้วย 2.โหน่งเท่ง นักเลงภูเขาทอง 3.หนูหิ่นเดอะ มูฟวี่ 4.รักจัง และ 5.เด็กหอ
นายวิสูตรกล่าวต่อถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในช่วงครึ่งปีหลังนี้ว่า บริษัทฯมีแผนเตรียมฉายภาพยนตร์ประมาณ 5 เรื่อง ภายหลังจากที่ได้ปล่อยเรื่องเด็กหอเข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาซึ่งได้รับผลตอบรับอย่างดีในระดับหนึ่งและในช่วงเดือนกรกฎาคมจะทยอยเข้าฉายให้ครบไปถึงปลายปีอีกประมาณ 5 เรื่อง เรื่องแรกจะเข้าฉายประมาณเดือนกรกฎาคม คือ 1.เรื่องแก็งชะนีกับอีแอบ 2.เรื่องโกยเถอะโยม 3.ซีซั่นเชนจ์ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย 4.เก๋า และ 5.เรื่องโอเน็ต เอเน็ต เอ็นไม่หมูติดมันส์
ในส่วนของแผนการดำเนินงานนั้นบริษัทฯมีแผนกำหนดให้หนังเข้าฉายทั้งปีประมาณ 7 เรื่อง แต่หลังจากที่หนัง เรื่องหมากเตะโลกตะลึง โดนแบนยังไม่ให้เข้าฉายทำให้ทั้งปีนี้บริษัทฯจัดฉายเพียง 6 เรื่องเท่านั้น ส่งผลให้เป้าหมายที่วางไว้ 700 ล้านบาท อาจจะลดลงจากเดิม 20% เนื่องจากสูญรายได้จากเรื่อง หมากเตะโลกตะลึง ไปพอสมควร
|
|
|
|
|