|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
tkt คาดไตรมาส 2 ปีนี้ต่ำกว่าไตรมาสสองของปี 48 เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมหันไปลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง และรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนไม่เกิน 1 เท่า ขณะที่การร่วมมือกับญี่ปุ่นหวังผลิตสินค้า OEM เพิ่มยอดขายจะเซ็น MOU เดือนนี้ มั่นใจปีนี้ไม่ปรับผลงานที่ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 20%
นายจุมพล เตชะไกรศรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน)( TKT) เปิดเผยว่าผลการดำเนินงานไตรมาสสองปีนี้ น่าจะไม่ต่างจากไตรมาสแรกนัก และหากเทียบกับปี 48 น่าจะต่ำกว่าไตรมาสสองของปีดังกล่าว เนื่องจากราคาวัตถุดิบพลาสติกที่ปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมัน แต่ก็น่าจะเป็นในระยะไม่เกิน 6 เดือน เพราะบริษัทคงอยู่ในภาวะปรับตัวได้
“ เราทยอยปรับราคาได้ หากราคาวัตถุดิบยังคงพุ่งไม่หยุด เพราะที่ผ่านมาเราก็ต้องทำอย่างนั้น แต่เราคงต้องหันมาลดต้นทุนการผลิตตลอดจนการดำเนินงานที่ต้องเข้มงวดมากขึ้น เราต้องให้พนักงานตระหนักถึงการทำงาน ให้ทุกคนหันมาช่วยกันลดต้นทุนให้ต่ำลง ” นายจุมพลกล่าว
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานไตรมาสสองของบริษัทปีนี้ไม่ดีเท่ากับไตรมาสสองของปี48 และน่าจะใกล้เคียงกับไตรมาสแรกปีนี้ด้วย และในระหว่างนี้ TKT จะหันไปเน้นการลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลง เพื่อให้ผลกระทบที่เกิดจากราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นนั้นลดลงได้ โดยตัวเลขค่าใช้จ่ายและต้นทุนขายของบริษัทฯ ในไตรมาสแรกของปี 49 เท่ากับ 182.42 ล้านบาท คิดเป็น 83.27%ของรายได้รวม และสูงกว่างวดเดียวกันของปี 48 ด้วย เทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปี 2548
นายจุมพลกล่าวต่อว่าผลการดำเนินงานปีนี้ TKT ยังจะไม่ปรับลด เพราะเชื่อว่าครึ่งปีหลังบริษัทยังจะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผลงานโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่โรงงานสร้าง โดยปัจจัยการเติบโตของยอดขายปัจจุบัน ยอดขายใหม่จากการออกรถรุ่นใหม่ของลูกค้า และยอดขายจากลูกค้าใหม่
นอกจากนี้ โรงงานผลิตแม่พิมพ์แห่งใหม่ของ TKT ที่เริ่มต้นเดินเครื่องผลิตและค่อนข้างไปด้วยดีตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีคาดว่าจะเป็นเงินประมาณ 70 ล้านบาท ขณะที่ปี 48 รับรู้เพียง 30 ล้านบาท ซึ่งผลิตเพียงแค่ช่วงปลายปีเท่านั้น อีกทั้งการยกระดับเป็นผู้ให้บริการผลิตชิ้นส่วนแบบครบวงจรที่ร่วมมือกับญี่ปุ่นก็จะเกิดขึ้นปีนี้ด้วย ดังนั้น จากปัจจัยที่เกื้อหนุนเหล่านี้ น่าจะทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องเหมือนที่ผ่านมา
“แต่ตัวเลขกรอสมาร์จิ้นของเรายังไม่เข้าเป้า เพราะขณะนี้เรายังทำถึง 20% ไม่ได้ จากผลงานไตรมาสแรกที่ผ่านมา แต่เราก็ต้องพยายามต่อไป ต้องเน้นการลดต้นทุนของเราให้ได้ ส่วนการร่วมมือกับญี่ปุ่นยกระดับเป็นผู้ให้บริการผลิตชิ้นส่วนแบบครบวงจร จะเซ็น MOU กันมิถุนายนนี้ ซึ่งเราจะได้รับเทคโนโลยีการออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์และพัฒนาทักษะความสามารถของบุคลากร ซึ่งจะดันให้ TKT สามารถผลิตสินค้า OEM เพิ่มยอดขาย" นายจุมพลกล่าว
นายจุมพลกล่าวถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นจากก่อนหน้านี้ ว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทในระยะอันสั้นนี้ โดยตรงอาจส่งผลน้อยแต่จะเกิดทางอ้อม เพราะลูกค้าของบริษัทที่ซื้อสินค้า ก็เพื่อขายให้กับลูกค้าอีกต่อหนึ่ง ซึ่งเมื่อส่งออกไปจะมีปัญหาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน โดยบริษัทจะหันไปใช้เงินทุนหมุนเวียนแทนการกู้ยืม โดยบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน ( D/E RATIO) ไม่เกิน 1 เท่า ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 0.85 เท่า
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้พบว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 5.63 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.06 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นลดลงจาก 6 สตางค์ต่อหุ้นเหลือ 3 สตางค์ต่อหุ้น
|
|
|
|
|