Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 มิถุนายน 2549
ขาใหญ่ทิ้งหุ้นถือเงินสด             
 


   
search resources

Stock Exchange
เอกยุทธ อัญชัญบุตร




นักลงทุนขาใหญ่เห็นฟ้องตลาดหุ้นไทยอาจร่วงต่อ จากปัจจัยลบทั้งในและนอกประเทศยังไม่ชัดเจน ปรับกลยุทธ์ถือเงินสดแทน "เอกยุทธ" ระบุดัชนีสิ้นปี 800จุดเป็นไปไม่ได้ เชื่อหุ้นตกรอบนี้อาจถึง 620 จุด ด้านศิริวัฒน์ ย้ำชัดจะซื้อหุ้นอีกครั้งรอดัชนีหลุด 600 จุดก่อน ฟันธงรายได้-กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 2 หด ด้าน โบรกเกอร์ที่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนในประเทศเป็นหลักมาร์เกตแชร์ลดลง

นายเอกยุทธ อันชัญบุตร ประธานเครือโอเรียลเต็ลมาร์ท กรุ๊ป อดีตนักลงทุนรายใหญ่ เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก กระแสการไหลออกของเงินทุนจากต่างประเทศเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อลงทุนในช่วงก่อนหน้าอาจจะเป็นกองทุนที่มาจากต่างประเทศเพียง 10% ของยอดการซื้อขายสุทธิ เนื่องจากพฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ในประเทศเปลี่ยนไปจากอดีตคือมีการส่งคำสั่งซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ต่างชาติซึ่งทำให้เงินที่ไหลออกเข้ามาในรูปของนักลงทุนต่างชาติแต่แม้ที่จริงเป็นคำสั่งจากนักลงทุนไทยรายใหญ่บางรายเท่านั้น

ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของดัชนีในรอบนี้อาจจะถึงระดับ 620 จุด แต่โดยส่วนตัวยังมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้น่าจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ800 จุดอย่างที่บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งได้มีการออกบทวิเคราะห์มาเนื่องจากทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศอยู่ในช่วงที่ชะลอตัว

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าหุ้นในกลุ่มขนาดใหญ่ที่บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆออกบทวิเคราะห์ให้นักลงทุนเข้าลงทุนไม่น่าสนใจ เนื่องจากหลายบริษัทราคาหุ้นแม้จะปรับตัวลดลงแต่ก่อนหน้านี้มีการปรับขึ้นเกินกว่าราคาตามพื้นฐานของบริษัทแล้ว

" 3 เดือนหลังจากนี้เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่ช่วงที่แย่ การลงทุนในหุ้นผมจะไม่เลือกซื้อหุ้นกลุ่มบลูซิฟเพราะว่าราคาหุ้นสูงมาก หากจะซื้ออาจจะเข้าซื้อเป็นช่วงแค่ช่วงสั้นๆ"นายเอกยุทธกล่าว

นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อดีตนักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ปัจจัยลบหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งเรื่องปัญหาในประเทศ อัตราดอกเบี้ย น้ำมันแพงล้วนเป็นเหตุผลที่ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน ในแง่ของความน่าสนใจจะเข้ามาลงทุนอาจจะต้องพิจารณาลงทุนอีกครั้งเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 600 จุด

ทั้งนี้ หากพิจารณาแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติซึ่งมีบทบาทต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก การเข้ามาซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติช่วงก่อนหน้านี้ประมาณ 1.3 แสนล้านบาทส่งผลทำให้ดัชนีปรับขึ้นประมาณ 100 จุดแต่การขายสุทธิของต่างชาติในช่วงเดือนที่ผ่านมาประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาทกลับส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึง 100 จุดแล้วแต่โดยส่วนตัวยังเชื่อว่าเงินที่นักลงทุนต่างชาติเทขายจะยังกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไดอีกเพราะค่าเงินบาทของไทยังยังแข็งค่าขึ้น

"ผมเคยบอกแล้วว่าดัชนีตลาดหุ้นจะต้องปรับลดลงเหลือประมาณ 600 จุดหลายคนที่ได้ยินในตอนนี้ก็ว่าผม แต่พอวันนี้มันก็เกิดขึ้นจริงแม้ว่าจะมีการรีบาวน์กลับบ้างแต่เป็นเพียงสัญญาณทางเทคนิคเท่านั้น ผมเลือกที่จะไม่เข้าไปลงทุนเลยในช่วงนี้ ขายหุ้นในพอร์ตทั้งหมดถือเงินสดหรือไม่ก็ฝากแบงก์ประเภทประจำ3 เดือนเพราะดอกเบี้ยตอนนี้ก็ประมาณ 5%แล้ว"นายศิริวัฒน์กล่าว

ในส่วนของผลดำเนินการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/49 น่าจะมีอัตราการเติบโตลดลงเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตในช่วงเดียวกันของปีก่อนเพราะปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบค่อนข้างชัดเจน

สำหรับปัญหาเรื่องการเมือง ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และหากเกิดขึ้นได้คะแนนเสียงของพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะออกมาอย่างไร ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาพรรคไทยรักไทยไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ปัญหาที่เป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นจะเกิดขึ้นอีกครั้งเนื่องจากนโยบายในการบริหารงานประเทศในเรื่องต่างๆอาจจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่มที่น่าสนใจหากดัชนีปรับตัวลดลงจนถึงระดับที่น่าสนใจเข้าลงทุน คือหุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ที่มีเงินสดจำนวนมากและที่สำคัญไม่มีหนี้

นายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือ เสี่ยปู่ นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า ราคาหุ้นหลายบริษัทในปัจจุบันปรับตัวลดลงจำนวนมาก แต่ยังมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มเฮจฟันด์เป็นจำนวนมาก การเลือกลงทุนในช่วงนี้จึงต้องมีการเลือกแบบรายบริษัท เพราะปัจจัยต่างๆที่เข้ามากระทบต่อยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะคลี่คลายได้เมื่อไหร่ซึ่งอาจจะต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ กล่าวว่า การที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มีทิศทางที่จะฟื้นตัวในช่วงนี้ จึงส่งผลทำให้นักลงทุนรายใหญ่ได้ชะลอการซื้อขายไปก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งได้มีกระแสข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่ได้ตัดขายขาดทุน(คัทล็อต)หุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดแล้ว เพื่อที่จะถือเป็นเงินสดแทนโดยจะเห็นได้จากสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนทั่วไปในปัจจจุบันนี้ลดลงไปจากอดีต รวมถึงมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นโดยรวมที่ลดลงเช่นเดียวกัน และได้มีกระแสข่าวว่านักลงทุนรายใหญ่หลายรายที่เจอภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงมาแรง จนทำให้ประสบปัญหาขาดทุนเช่นกัน

"ในอดีตที่มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นหนาแน่นนั้น ส่วนหนึ่งเพราะนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาซื้อขาย และมีการเก็งกำไรกันอย่างมาก
แต่ขณะนี้นักลงทุนรายใหญ่ไหวตัวทัน จึงได้ตัดใจขายหุ้นออกมาทั้งหมด หรือนักลงทุนรายใหญ่บางรายอาจจะมีหุ้นในพอร์ตจำนวนไม่มากนัก และได้ชะลอการซื้อขายจึงได้ส่งผลทำให้จึงส่งผลทำให้มูลค่าการซื้อขายลดลงด้วย"แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้การที่นักลงทุนรายใหญ่ชะลอการลงทุนได้ส่งผลทำให้โบรกเกอร์ที่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก มาร์เกตแชร์ได้ลดลง เช่นกรณีของบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ที่มาร์เกตแชร์ลดลง ส่วนหนึ่งมีกระแสข่าวว่านายสมพงษ์ ชลคดีดำรงกุลหรือเสี่ยปู่ที่มีกระแสข่าวว่าเปิดพอร์ตซื้อขายกับบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ได้ซื้อขายลดลง เพราะภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่มาร์เกตติ้งของบล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย)ที่แนะนำลูกค้าให้ชะลอการซื้อขายด้วยเพื่อรอดูภาวะตลาดหุ้นให้ชัดเจนเสียก่อน นอกจากนี้ก็มี บล.บีฟิท ที่มีนักลงทุนรายใหญ่ซื้อขายอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะนักลงทุนจากหาดใหญ่ที่ชะลอการลงทุนเช่นเดียวกัน จึงทำให้มาร์เกตแชร์ลดลง

อย่างไรก็ตามลักษณะการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่แต่ละรายจะแตกต่างกัน เช่นกรณีของนายยรรยง พันธุ์วงศ์กล่อมนั้นจะถือว่าเป็นนักลงทุนที่ซื้อขายได้เร็ว และเป็นนักลงทุนที่ตัดขายขาดทุนที่เก่งมาก ส่วนในกรณีของนายสมพงษ์ได้มีการปรับลักษณะการลงทุน โดยจะเลือกลงทุนในหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็กเช่นหุ้นบริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน)หรือ MFEC,บริษัทซีเอ็ม ออร์กาไนเซอร์ จำกัด(มหาชน)หรือ CMOและบริษัทปริญสิริ จำกัด(มหาชน)หรือ PRINเป็นต้นซึ่งนายสมพงษ์จะลงทุนในระยะเวลายาว

อนึ่งก่อนหน้านี้นายพายัพ ชินวัตรซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่อีกคน ได้มีการขายหุ้นในพอร์ตออกทั้งหมด เช่นหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ แอ๊ดคินซัน หรือ ASL,หุ้นบริษัทบีเอ็นที เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ BNT และบริษัท เค-เทค คอนสตรัคชั่น หรือ KTECH   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us