Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2538








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2538
กำลังเกิดอะไรขึ้นกับอุตสาหกรรมค้าปลีก             
โดย สมชัย วงศาภาคย์
 


   
www resources

โฮมเพจ เซ็นทรัลกรุ๊ป
โฮมเพจ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน

   
search resources

เซ็นทรัลกรุ๊ป
ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน, บมจ.
Investment
Retail




ต้นเดือนเมษายน ธุรกิจค้าปลีกที่กรุงเทพฯ ตื่นขึ้นมารับข่าวการควบกิจการ cash-carry wholesale store ของสองยักษ์ใหญ่เซ็นทรัลกับโรบินสันด้วยเงินทุนกว่า 500 ล้านบาท โดยผ่านการสวอปหุ้นบริษัทในเครือของทั้งสอง สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ นับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมค้าปลีกของเมืองไทย ที่กำลังถูกดูดซับเข้าไปอยู่ในวงจรของข้อตกลงของแกตต์

เมื่อ "ไทยอินเตอร์เนชั่นแนลฟู้ด" บริษัทลูกของกลุ่มเซ็นทรัลที่ลงทุนทำธุรกิจค้าส่งเครื่องหมาย "บิ๊กซี" มาเกือบ 2 ปี ประกาศขายหุ้นเกือบทั้งหมดให ้เอส.เค.การ์เม้นท์ของกลุ่มโรบินสันมูลค่าประมาณ 523 ล้านบาท (หุ้นละ 116 บาท) โดยผ่านธุรกรรมสวอป หุ้นส่วนที่เพิ่มทุนประมาณ 40% เอส.เค.การ์เม้นท์ เพื่อสอดรับกับจุดมุ่งหมายควบกิจการเข้าด้วยกันของห้าง "บิ๊กซี" กับห้าง "เซฟวัน" ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้ โดยจะใช้เครื่องหมายการค้าของ "บิ๊กซี"

ห้าง "เซฟวัน" เป็นเครื่องหมายการค้าของกลุ่มเอส.เค.การ์เม้นท์ โฮลดิ้งคอมปะนีของโรบินสัน ที่มีอนันต์ อัศวโภคิน แห่งบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และสหพัฒนฯ ซัปพลายเออร์สินค้าอุปโภค-บริโภค รายใหญ่ที่สุดของไทยเป็นพันธมิตรร่วมถือหุ้น

ส่วนห้าง "บิ๊กซี" เป็นเครื่องหมายการค้าของไทยอินเตอร์เนชั่นแนลฟู้ด บริษัทลูกของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นครอบครัวของ "จิราธิวัฒน์" ล้วนๆ

ห้าง "บิ๊กซี" มีจุดขาย 3 แห่งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ คือ ที่ถนนแจ้งวัฒนะ วงศ์สว่าง และราษฎร์บูรณะ ขณะที่ห้าง "เซฟวัน" มีจุดขายเพียงแห่งเดียวที่รังสิต ซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงเทพฯ

การควบกิจการของกลุ่มยักษ์ใหญ่ค้าปลีกทั้งสอง เป็นสัญญาณที่กำลังสะท้อนออกมาว่า แนวโน้มการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้กำลังรุนแรงขึ้น และกดดันความสามารถในการสร้างกำไรจากยอดขาย

ขณะเดียวกัน มันก็กำลังชี้แนวโน้มอีกด้านหนึ่งออกมาเช่นกันว่าการ pool resource เพื่อเร่งสร้างเครือข่ายจำหน่าย (distribution network) ให้กระจายไปทั่วประเทศเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดในการเตรียมตัวรองรับการเปิดตลาดเสรีอุตสาหกรรมค้าปลีก 5 ปี ข้างหน้าตามข้อตกลงของแกตต์

ทำไมผมกล่าวเช่นนี้ ?

ข้อแรก-ผมอยากให้พิจารณาตัวเลขการเติบโตของอำนาจซื้อ 25 ปีข้างหน้าของคนไทยทั่วประเทศ จากการศึกษาของธนาคารโลกพบว่า 25 ปีข้างหน้า คนไทยจะมีอำนาจซื้อสูง (purchasing power parity) เป็นอันดับ 8 ของโลกจากรองเกาหลีใต้ คือตกประมาณ 22% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในชาติ

อำนาจซื้อสูงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมฯ เป็นปฏิสัมพันธ์ที่บอกว่า เม็ดเงินจากการจับจ่ายใช้สอยของคนไทยทั่วประเทศ ในอีก 25 ปีข้างหน้ากระจายอยู่เต็มไปหมด รอการไล่เก็บของพ่อค้านักธุรกิจ

ใครจะมีพลังเก็บเกี่ยวได้มากกว่า ขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรในเครือข่ายเป็นสำคัญ

ข้อสอง-การเติบโตในความนิยม Private Label ในสินค้าอุปโภคบริโภคของผู้บริโภคทั่วโลกขณะนี้ เป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป การจับจ่ายใช้สอย ไม่ติดยึดกับยี่ห้อดังๆ อีกต่อไป

ข้อเท็จจริงตรงนี้ เห็นได้ชัดเจนจากผลสำเร็จในการลงทุนสร้างเครื่องหมายการค้าสินค้าที่จำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตของตัวเองของกลุ่มเซ็นทรัลภายใต้ยี่ห้อ "เซ็นทรัล" ยี่ห้อ "เอสแฟร์" ในเสื้อผ้าสำเร็จรูปของโรบินสัน และไส้กรอกยี่ห้อ "ซีพี" ของกลุ่มซีพี

ข้อสาม-การเติบโตในยอดขายและเครือข่ายการวางจำหน่ายสินค้าของกลุ่มซีพี เป็นตัวอย่างที่เป็นกรณีศึกษาของอุตสาหกรรมค้าปลีกกล่าวคือ ภายในไม่ถึง 10 ปี อุตสาหกรรมค้าปลีกของซีพีที่ประกอบด้วยเครือข่ายสยามแม็คโคร 7 แห่งและร้าน 7-Eleven อีกประมาณเกือบ 600 แห่งทั่วประเทศ สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 30,000 ล้านบาท มากกว่ายอดขายค้าปลีกของกลุ่มเซ็นทรัลซึ่งมีเครือข่ายจำหน่ายประมาณ 15 แห่งทั่วประเทศ ที่ทำได้ 25,000 ล้านบาทตลอด 47 ปีที่ผ่านมา

การเติบโตที่แตกต่างกันนี้ แสดงชัดเจนถึงกลยุทธ์การสร้างการเติบโตของกลุ่มซีพีที่ใช้วิธีผูกกับพันธมิตรคู่ค้า แล้ว pool resources ในการเร่งการขยายตัว ขณะที่กลุ่มเซ็นทรัลและโรบินสันเพิ่งจะเริ่มเดินไปบนยุทธศาสตร์นี้ได้ 2 ปีเท่านั้นเอง

ข้อสี่-จากนี้ไปในช่วง 5 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมค้าปลีกของไทยกำลังอยู่ในช่วงการเตรียมตัวเพื่อรับการเปิดตลาดเสรีของอุตสาหกรรมนี้คู่แข่งขันที่สำคัญคือ บริษัทค้าปลีกที่ยิ่งใหญ่จากสหรัฐฯ และอังกฤษ ที่มีความแข็งแกร่งด้านทรัพยกรเงินทุน เทคโนโลยีการจัดการด้านสินค้าคงคลัง และความได้เปรียบในเครือข่ายจัดหาสินค้าจากซัปพลายเออร์ทุกมุมโลก

ดังนั้น การแข่งขันค้าปลีกในตลาดเสรีที่กำลังเกิดขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า จึงไม่ใช่การสร้างประสิทธิภาพในการทำกำไรจากยอดขายด้วยวิธีใช้อำนาจต่อรองบีบซัปพลายเออร์ท้องถิ่นเหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หากอยู่ที่ความกว้างขวางของเครือข่ายจำหน่าย ที่สามารถตอบสนองเป้าหมายความสามารถในการเพิ่มยอดขาย และสภาพคล่องทางการเงิน

ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกลุ่มซีพี เคยกล่าวว่าการมีเครือข่ายจำหน่ายที่กว้างขวาง หมายถึงปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการกำหนดความสำเร็จของอุตสาหกรรมการผลิตในเครือข่ายของซี.พี. "ไม่ใช่เทคโนโลยีการผลิต ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงหรือจัดหามาได้อย่างรวดเร็วเท่าเทียมกัน โดยวิธีการเช่า โดยวิธีการเช่าหรือซื้อมาจากเจ้าของสิทธิบัตรการผลิต" ซึ่งนั่นหมายถึง ไม่ใช่ทุกคน ที่จะเท่าเทียมกันได้ในการเข้าถึงหรือจัดหาให้ได้มาอย่างรวดเร็วซึ่งเครือข่ายจำหน่ายที่กว้างขวาง

เช่นนี้แล้ว โดยสรุปก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในการควบกิจการข่ายการจำหน่ายของเซ็นทรัลกับโรบินสันเมื่อต้นเดือนเมษายน เป็นจุดเริ่มต้นของการส่งสัญญาณให้คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมค้าปลีกท้องถิ่นทุกระดับ ได้รับรู้ว่าจะอยู่รอดและโตต่อไปได้ในยุคแกตต์ ถึงเวลาต้องปรับตัวโดยการแสวงหาพันธมิตร เพื่อเร่งสร้างข่ายการจำหน่ายให้กว้างขวางได้แล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us