Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2538








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2538
Exchange square ปัญหา 30 ปีที่ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง!             
โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
 

   
related stories

เมื่อทรัพย์สินฯ ต้องปวดหัว เพราะชาวสลัมค้าที่แข่ง

   
search resources

ธนายง, บมจ.
คีรี กาญจนพาสน์
Financing




ในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา ความฝันของตระกูล " กาญจนพาสน์ " ประการหนึ่งคือ พัฒนาที่ดินของทรัพย์สินฯ 53 ไร่ บริเวณชุมชนเทพประทาน จนเมื่อศิริ กาญจนพาสน์ ได้สิทธิ์โครงการ " Exchange squaree ความฝันนี้ก็จุดประกายขึ้นมาอีก

แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ได้ เพระาเรื่องยุ่งขึ้นอีก ในเมืองจำนวนชาวบ้านขึ้นมาทดแทนตามโครงการแลนด์แชริ่ง เพราะเรื่องยุ่งขึ้นไปอีกเมื่อจำนวนชาวบ้าน เพิ่มขึ้นมหาศาลและใคร ๆ ก็อยากมาอยุ่แฟลตแห่งใหม่ที่ดูเหมือนว่าจะมีค่า มากกว่าค่าเช่าราคาถูกหลายเท่า!

" เมื่อไหร่จะเคลียร์ปัญหาเรื่องคนได้หมด จะได้เริ่มสร้างโครงการเอ็กเช้นทสแควร์เสียที" เป็นคำพูดของคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทธนายง มหาชน จำกัด ซึ่งจะถาม รังสิน กฤตลักาณ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทสหกรุงเทพฯ พัมฒาบริษัทในเครือธนายงผู้รับผิดชอบโครงการชุมชนเทพประทานอยุ่เกือบทุกครั้ที่พบหน้า

เป็นธรรมดาที่คีรีต้องการพื้นที่ตรงนี้มาพัฒนาอย่างมากที่สุด เพราะเป็นทีดินบนทำเลทองใจกลางเมืองผืนมหึมา 55.5 ไร่บนถนนพระราม4 ติดกับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ และถูกวางแผนให้เป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ มีทั้งตลาดหลักทรัพย์ แห่งใหม่ โรงแรม ออฟฟิคบิวดิ้ง และศูนย์การค้าภายใต้ชื่อโครงการ " เอ็กเช้นท์สแควร์"

แต่ระยะเวลาเกือบ 30 ปี ที่ผ่านไปทางบริษัทสหกรุงเทพ ยังไม่สามารถที่จะทำโครงการอะไรเพื่อหาผลประโยชน์ได้เลย กำหนดเวลาการสร้างตึงต้องถูกเลื่อนไปครั้งแล้วครั้งเล่า

ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2510 ด้วยสายตาอันแหลมคมของมงคล กาญจนพาสน์ ผู้เป้นบิดาของคีรี ได้เล็งการณ์ไกลไว้ว่าที่ดินแปลงนี้ ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลปทุมวัน โดยริมคลองเตย ( ถนนพระราม 4 ตรงข้ามทางเข้าท่าเรือคลองเตย) เนื้อที่ในช่วงแรกนั้นมีเพียง 53 ไร่ จะทำผลประโยชน์ได้สูงในอนาคตแน่นอน จึงได้ยื่นความจำนงและปรับปรุงพื้นที่โดยตอนนั้นได้กำหนดไว้ว่า บริษัทจะต้องก่อสร้างอาคารพาณิชย์ไม่ต่ำกว่า 3 ชั้น ไม่น้อยกว่า 300 ห้อง กำหนดแล้วเสร็จ ภายใน 4 ปี อายุสัญญาเช่า 15 ปี นับตั้งแต่วันที่ก่อสร้างเสร็จ โดยเสียค่าเช่าระหว่างการก่อสร้างเดือนละ 20,000 บาท เมื่อก่อสร้างเสร็จคาเช่าเดือนละ35,000 บาท

นับตั้งแต่ปี 2510 เป็นต้นมา ทางบริษัทก็ไม่สามารถก่อสร้างอะไรได้เลยกลับต้องมาประสบปัญหามาโดยตลอดเกี่ยวกับการรื้อย้าย เพราะชาวบ้านซึ่งมีเพียงร้อยกว่าครัวเรือน ในระยะเวลานั้นไม่ยอมย้ายออก มีการดำเนินการทางศาลฟ้องร้องขับไล่อยู่ตลอดเวลา และต้องต่อและเปลี่ยนสัญญาใหม่อีกหลายครั้ง

พร้อม ๆ กันนั้น ก็มีชาวบ้านกลุ่มใหม่เข้ามาบุกรุกที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา เพราะทำเลตรงนั้นอยู่ใกล้ท่าเรือคลองเตย ซึ่งเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ ของชาวบ้านโดยเฉพาะชาวต่างจังหวัด ชุมชนเริ่มแออัดขึ้นทุกทีปัญหาการรื้อย้ายชุมชนก็เริ่มทวีความหนักหน่วง

ทรัพย์สินฯ และบริษัทสหกรุงเทพฯ เสียภาพพจน์ไปมากมายในแง่ของการรังแกประชาชนผู้ยากไร้

จนกระทั่งปี 2524 สมัยเกรียงศักด์ ชมะนันท์ เป็นนากรัฐมนตรี ก็ได้มีการจัดตั้ง " คณะกรรมการพิจารณาปัญหาในที่ดินแปลงริมถนนพระราม 4 ของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" โดยมีตัวแทนจากสำนักเลขาธิการรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง กรมอัยการ กรมโยธาธิการ กรุงเทพมหานคร
และการเคหะแห่งชาติ โดยมีอธิบดีกรมอัยการเป็นประธาน และในทีสุดทางสำนักทรัพย์สินก็ได้เสนอนโยบายแลนด์แชริ่งขึ้นมา ซึ่งหมายถึงทางบริษัทสหกรุงเทพฯ จะตองสร้างที่อยู่อาศัยให้กับชุมชน ส่วนหนึ่งในพื้นที่ 15 ไร่ ในรูปแบบของตึกสูง 8 ชั้น 2 อาคาร และอาคารพาณิชย์ อีกส่วนหนึ่ง และส่วนที่เหลือถึงจะมาสร้างอาคารหาผลประโยชน์

การเคหะแห่งชาติ ได้เป็นผู้ที่เข้ามาสำรวจจำนวนประชากรในปี 2524 นั้นเพื่อต้องการรู้ตัวเลขผู้ที่มีกรรมสิทธิ์จริง ๆ เพื่อที่จะให้สิทธิ์ในการขึ้นไปอยู่แฟลต ที่บริษัทสร้างเสร็จต่อไป และพบว่าจำนวนชาวบ้านอาศัยอยู่ทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 1,233 ครัวเรือน หรือประมาณ 6,520 แต่เป็นผู้มีสิทธิ์จริง ๆ หรือผู้อยู่อาศัยจริงไม่ใช่ผู้เช่ามีเพียง 83 ครอบครัว ทางสำนักงานทรัพย์สินก็ได้ตกลงให้บริษัทกรุงเทพฯ รับผิดชอบที่จะต้องสร้างแฟลตให้คนกลุ่มนี้อาศัย ส่วนที่เหลือก็ได้มีการตกลงว่าภาครัฐบาลจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อไป

ถึงแม้ทางสำนักงานทรัพย์สิน และบริษัทสหกรุงเพทฯ จะได้เพียรพยายามชี้แจงให้ชาวบ้านได้รับรู้ว่า จะสร้างตึกให้อยู่อาศัยเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ใครที่ค้าขายอยู่ ก็จะได้เข้าไปอยู่ในส่วนอาคารพาณิชย์ ของตึกใหม่ แต่ทางบริษัทก็ยังถูกต่อต้านคัดค้านไม่ให้การก่อสร้างเกิดขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน ด้วยเหตุผลสำคัญก็คือความไม่เชื่อมั่นในความตั้งใจจริงของบริษัทสหกรุงเทพฯ ว่าจะเข้ามาพัฒนาที่ดินตามนโยบาย แลนด์แชริ่ง ของสำนักงานทรัพย์สินจริง ในขณะที่ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งต้องสูญเสียพื้นที่และทำเลในการประกอบอาชีพ และต้องเสียผลประโยชน์ในให้ผู้อื่นมาเช่าที่ดินและอาคารต่าง ๆ ก็ไม่ยอมรื้อย้ายเช่นกัน

นอกจากนั้น ยังมีปัญหารอง ๆ ลงไปอีก ปัญหาเรื่องโรงเรียนคลองเตยวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนของเอกชนที่อยู่ในพื้นที่นี้ เป็นโรงเรียนที่สอนเด็กในระดับอนุบาล-ประถมศึกษา ปีที่ 6 มีการสอนภาษาจีนเพิ่มเติม มีการสอนภาษาจีนเพิ่มเติม ไม่ยอมย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่ชั่วคราวที่ทางบริษัทจัดให้ ซึ่งทางบริษัทเองก็มีพื้นที่ว่างประมาณ 3 ไร่เพื่อสร้างโรงเรียนของชุมชนแต่จำเป็นต้องให้เป็นโรงรียนของกทม. ยกให้เอกชนไมได้ปัจจุบันยังมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่

การย้ายศาลเจ้าพ่อเสือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่าทางชุมชนโวยวายกันมาก ศาลเจ้าพ่อเสือเป้นสภานทีศํกดิ์สิทธิ์ ซึ่งชาวจีนทีอาศัยอยู่ในชุมชนเทพประทาน ( ราษฎรประมาณ 80%) แต่ปัจุจุบันกรรมการ 4 ฝ่าย ด้เจรจากับผู้ดูแลชาวจีนในชุมชนเทพประทานถึงความจำเป็นในการย้ายศาล ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเดิมไปเล็กน้อย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายแล้ว

นับว่าทางสำนักงานทรัพย์สิน และบริษัทกรุงเทพพัฒนามีความอดทนอย่างยิ่งยวดในการเฝ้าเพียรชี้แจงชาวบ้านจนในที่สุด ชาวบ้านบางส่วนก็ออกมายอมรับรื้อย้ายและเข้ามาอยู่ในพื้นที่อาคารชั่วคราว

สำนักงานทรัพย์สิน ได้ทำสัญญาครั้งสุดท้ายใหม่กับบริษัท เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2534 โดยได้กำหนด ให้ปี 2531-2541 เป็นช่วงระยะเวลาการก่อสร้างและสัญญา 30 ปี จะเริ่มนับจากปี 22541 เป็นต้นไป และมีเงื่อนไขของการก่อสร้างคือ บริษัทจะต้องสร้างอาคาร และยกกรรรมสิทธิ์ให้สำนักงานทรัพย์สิน เพื่อรองรับผู้เช่าเดิมในชุมชนเทพประทานในพื้นที่ 15 ไร่ ซึ่งต้องประกอบไปด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 8 ชั้น 4 อาคาร รวมทั้งหมด 832 หน่วย โดยชันที่ 1-2 นั้นเป็นอาคารพาณิชบ์ ขนาด 56 ตารางเมตร จำนวน 208 หน่วย ชั้นที่ 3-8 เป็นอาคาร ที่พักขนาด 56 ตารางเมตร จำนวน 624 หน่วย

ส่วนที่ 2 จะสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้นครึ่ง จำนวน 3 อาคาร รวม 54 หน่วย ส่วนที่ 3 คือสวนสาธารณะ ซึ่งมีโรงเรียนภายในชุมชน ที่ทำกินสำหรับราษฏรที่ได้รับสิทธิ์ และศาลเจ้าเพื่อที่จะทำพิธีกรรมทางศาสนา

และในเดือนสิงหาคม ปี 2533 พล ร.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ ก็ได้มาเป็นผู้วางศิลาฤกษ์ ในการก่อสร้างอาคาร ในชุมชนเทพประทาน โดยตามแผน ทางบริษัทสหกรุงเทพ จะก่อสร้างแฟลตอาคารที่ 3 และ 4 ก่อน แล้วเตรียมสร้างอาคาร 1 ถึง 2 ต่อไป และเมื่อขนย้ายคนเสร็จเรียบร้อย ก็จะเริ่มก่อสร้างโครงการเอ็กเช้นท์สแควร์ ตามกำหนดดังกล่าว หากนับจากวันที่วางศิลาฤกษ์ก็จะต้องใช้เวลาประมาณ 2 ปี โครงการเอ็กเช้นท์สแควร์ จึงจะเริ่มได้

แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ก็คือแฟลต 2 อาคาร คืออาคาร 3 และ 4 จำนวน 416 ยูนิต ใช้เวลาก่อสร้างเกือบ 4 ปีเพิ่งแล้วเสร็จเมื่อปลายปี 2537 นี้เอง ในขณะที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ในพื้นที่ 3 ไร่ เพิ่งเคลียร์พื้นที่ เสร็จและมีแผนลงมือตอกเสาเข็มแน่นอน ในเดือนมกราคม ที่ผ่านมา โดยบริษัทอิตาเลี่ยน ไทยเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างกำหนดแล้วเสร็จประมาณ กลางปี 2541 ซึ่งส่วนนี้ไม่น่ามีปัญหาการก่อสร้างเสร็จทันกำหนดแน่

แต่ในพื้นที่สร้างแฟลตนั้น รังสิน เล่าให้ผู้จัดการฟังว่า

" เป็นโครงการที่ทำได้ยากมาก บางจุดชาวบ้านยอมย้ายไปหมดแล้ว มีบ้างเพียงหลัง 2 หลังไม่ยอมย้าย เราก็ต้องเสียเวลา รอ ๆ รอไม่ไหว ก็ต้องตอกเสาเข็มกันรอบบ้านเลย

รังสิน เป็นหนึ่งที่เข้ามารับผิดชอบโครงการตั้งแต่ ปี 2533 พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมว่า ชุมชนเทพประทานที่บริษัทเช่ามาเดิมมีเนื้อที่ประมาณ 53 ไร่ กำหนดไว้ว่าจะต้องสร้างที่อยู่อาศัย และเว้นที่ว่างเพื่อการบริการสาธารณะให้แก่ชุมชน 15 ไร่ ตอนนี้เพิ่มเป็น 17 ไร่ ดังนั้นจะเหลือพื้นที่ในการพัฒนาโครงการเอ้กเช้นท์สแวร์เพียง 35 ไร่ ทางบริษัทสหกรุงเทพจึงได้ขยายพื้นที่ เช่าเพิ่มอีก 3.5 ไร่เพื่อก่อสร้างในส่วนตลาดหลักทรัพย์ พื้นที่ ๆ จะทำโครงการเอ็กเช้นท์สแควร์ ทั้งหมดจึงมีทั้งหมด 38 ไร่ รวมที่ดินที่ทางบริษัทสหกรุงเทพเช่าทรัพย์สิน มีพื้นที่ทั้งหมด 55.5 ไร่

ทางสำนักงานทรัพย์สิน ได้กำหนดให้ชาวสลัม ที่มีสิทธิในการขึ้นไปอยู่แฟลตอาคาร 3,4 มารับมอบกุญแจในวันที่ 24,25 มกราคม 2537 ที่ผ่านมา และมีกำหนดให้ขึ้นตึกภายใน 1 เดือน หลังจากนั้น ก็จะเตรียมย้าย ชาวสลัม ที่มีสิทธิ์ในตึก 1,2 เข้ามาอยู่ในพื้นที่ชั่วคราว ของชาวบ้านตึก 3,4 ที่ขึ้นตึกไปหมดแล้ว เพื่อเตรียมสร้าง อาคาร 1,2 ต่อ โดยใช้เวลาอีก ประมาณ 1 ปี ก็จะสร้างแล้วเสร็จ ความฝันของคีรีในการสถานต่อโครงการเอ็กเช้นท์สแควร์ ก็ะถูกเดินหน้าทันที

นั่นคือความหวัง...แต่ภาพความวุ่นวายของชาวบ้านที่เกิดขึ้น ในวันที่รับมอบกุญแจนั้น หน้าอาคารสูง 8 ชั้น ที่ตั้งตะหง่านอยู่ในชุมชนเทพประทาน ทำให้รู้ว่าเกมนี้คงจะยังไม่ถึงจุดจบง่าย ๆ

วันนั้น มีชาวบ้านประมาณ 200-300 คน ได้รวมตัวกันทำหนังสือยื่นคำร้องของมีสิทธิ์แฟลตหลังนี้ โดยที่ชาวบ้านกลุ่มนี้อ้างว่าตัวเองมีที่อยู่ในชุมชนนี้จริง แต่ไม่มีสิทธิ์และกลายเป็นผู้ไม่มีรายชื่อ

เจ้าหน้าที่ทางสำนักงานทรัพย์สิน ได้ชี้แจงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะรายชื่อที่ยึดเป็นหลักเกณฑ์ตรวจสอบคนขึ้นตึกนี้ เป็นรายชื่อที่ทางเคหะแห่งชาติสำรวจไว้เมื่อปี 2524 ซึ่งระยะเวลาที่เปลี่ยนไปตั้ง 13 ปี นั้น มีความเป็นไปได้ว่าได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น บางคนก็อาจจะไม่ได้อยู่เมือตอนสำรวจ หรือบางรายอาจจะเป็นทายาทของผู้มีกรรมสิทธิ์ แต่เมื่อบิดาเสียชีวิต ไปตัวเองไม่มีใบมรณบัตรก็เลยมายื่นคำร้อง

ในขณะเดียวกัน มีชาวบ้านบางส่วนที่เพิ่งเข้ามาอยู่หรือมาเช่าอยู่ก็เรียกร้องสิทธิ์ด้วยเพราะอาคารที่พักดังกล่าวมันดึงดูดใจจริง ๆ

ชาวบ้านทั้งหมดนี้ คือผู้ที่ยังเป็นปัญหา เพราะได้ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่ เมื่อมีชาวบ้านบางส่วนยังไม่ยอมย้ายความหวังของบริษัทสหกรุงเทพฯ ที่จะสร้างอาคาร 1,2 ต่อก็ต้องชะลอออกไปอีกแน่นอน เพราะจะต้องรอผลตัดสินในเรื่องนี้ก่อนด้วย และที่สำคัญเมื่อเวลาผ่านไปผู้คนคนที่เข้ามาอาศัยชุมชนเทพประทานนี้ ก็ทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ตัวเลขล่าสุด จาการเคหะ แห่งชาติ ระบุว่า ขณะนี้ชาวบ้านทั้งหมด ในชุมชนแห่งนี้ประมาณ 3,000 ครอบครัว เข้าไปแล้ว และแน่นอนว่าทุกรายถึงแม้จะไม่มีสิทธิ์แต่ก็ต้องการสิทธิ์ที่จะขึ้นไปอยู่ตึกหลังสวยแห่งนี้กันทั้งนั้น ในขณะที่ อาคาร 1และ 2 นั้นมีจำนวนยูนิตที่บริษัทสหกรุงเทพ ต้องสร้างให้ตามสัญญาอีกเพียง 416 ยูนิตเท่านั้น

ทางออกที่ดีที่สุด ในตอนนี้ก็คือคณะกรรมการพิจารณาปัญหาพิพาทในที่ดิน ซึ่งแต่งตั้งโดยชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนกันยายน 2537 ควรรีบตัดสินปัญหานี้อย่างเร่วด่วนที่สุด รวมทั้งน่าจะหาทางออกให้กับบริษัทสหกรุงเทพด้วย หากมีการดื้อเพ่งไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่อีก

กรรมการชุดนี้จะประกอบไปด้วย อัยการสูงสุด เป็นประธานกรรมการ เรวัต ฉ่ำเฉลิม เป็นรองประธาน ผู้แทนจากการเคหะแห่งชาติ ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร ผู้แทนจากทรัพย์สิน ส่วนพระมหากษัตริย์ สุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา แพทย์หญิงสมพร สราฤทธิ์ ผู้แทนจากบริษัทสหรุงเทพฯ จำกัด ผู้แทนจากคณะชุมชนเทพประทาน และมีผู้อำนวยการกองบริการประชาชน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขาธิการ

ความจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นมาก็คือ เกือบ 30 ปี ที่ผ่านมา บริษัทสหกรุงเทพฯ ก็จะต้องจ่ายค่าเช่าให้กับสำนักวานทรัพย์สินมาโดยตลอด แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลข แต่คาดกันว่าเงินจำนวนนี้คงไม่สูงมากนักเพราะเป็นการเสียค่าเช่าตากกฎเกณฑ์ของสำนักงานทรัพย์สินในพื้นที่ ๆ ยังทำผลประโยชน์ไม่ได้ แต่ถ้ารวมตัวเลขทั้งหมดในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และค่าเช่าค่าเซ้งในช่วงเวลาต่อไปนั้น มูลค่าต้องสูงกว่า 1,000 ล้านบาทแน่นอน

และที่สำคัญในระยะเวลา 1-2 ปี นี้ บริษัทต้องเตรียมเงินไว้อีกอย่างน้อยประมาณ 1,000 เพื่อเป็นเงินในการก่อสร้างแฟลตที่เหลืออีก 2 อาคาร มูลค่าอาคารละประมาณ 100 ล้านบาท มูลค่าของอาคารตลาดหลักทรัพย์อีก 500 ล้านบาท รวมทั้งค่าก่อสร้างอาคารพาณิชย์อีก54 ยูนิต นี่คือรายจ่ายที่เห็นชัดเจน และถ้าหากรื้อย้ายไม่มีปัญหาเคลียร์พื้นที่ได้เรียบร้อย โครงการเอ็กเซ้นท์สแควร์ มูลค่านับหมื่นล้านบาทนั้น หมดก็เริ่มทยอยใช้เงิน พร้อม ๆ กับการจ่ายค่าหน้าดินบางงวดที่ต้องลงมือจ่ายเช่นกัน

ในขณะที่รายได้จะเริ่มเข้ามาหลังปี 2541 เป็นต้นไป เมื่ออาคารที่สร้างเพื่อผลประโยชน์บางส่วนของบริษัทแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้เช่า

เม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกหว่านออกไปไม่ขาดสาย และยังไม่รู้ว่าจะคืนทุนกลับมาเมื่อไหร่นั้น เป้เรื่องที่คีรี จะต้องคิดหนัก

เป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งของคีรี และนักพัฒนาที่ดิน อีกหลายรายที่ต้องการพัฒนาที่ดินในโครงการแลนด์แชริ่ง กับสำนักทรัพย์สิน ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องเจอกับปัญหาขับไล่ที่และค้าความกับชาวชุมชน ที่สำคัญถ้าสายป่านทางด้านการเงินไม่ยาวพอป่านนี้โครงการนี้พับฐานไปนานแล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us