Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน16 มิถุนายน 2549
หุ้น1เดือนดัชนีรูด17% ต่างชาติขายพลังงาน-แบงก์หนักสุด             
 


   
search resources

Stock Exchange




เกาะติดกระดานหุ้นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ดัชนีร่วง 17.36% โดยตปท.ทิ้งพลังงานหนักสุดวูบ 19.25% PTTEP หนักสุดในกลุ่มทรุด 27.50% ขณะที่ PTT ไม่น้อยหน้าราคาร่วง 20% ขณะที่กลุ่มแบงก์รูด 19.16% โบรกฯชี้ยังหาแนวรับไม่เจอ รอลุ้นข่าวดี-ข่าวร้ายแบบรายวัน เตือนจับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ยสิ้นเดือนนี้ครั้งสุดท้ายหรือไม่ หากยังไม่หยุดตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงต่อ

จากการรวบรวมข้อมูลการซื้อขายหลักทรัพย์ตามกลุ่มอุตสาหกรรมที่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาหลังนักลงทุนต่างชาติส่งสัญญาณการขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องโดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ช่วงระหว่างวันที่ 15 พฤษภาคม- 14 มิถุนายน 2549 เทียบจากที่ปิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2549 ดัชนีปรับตัวลดลง 135.81 จุด หรือ17.36% จาก 782.50 จุดมาปิดที่ 646.69 จุด

ทั้งนี้ ดัขนีกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ปรับตัวลดลงตามดัชนีทุกกลุ่ม โดยดัชนีกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลง 3,209.34 จุด หรือ 19.25 % จาก 16,668.99 จุด มาปิดที่ 13,459.65 จุด,ดัชนีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ลดลง 56.02 จุดหรือ 19.16% จาก 292.38 จุด มาปิดที่ 236.36 จุด,

ดัชนีกลุ่มยานยนต์ลดลง 70.64 จุด หรือ 18.30% จาก 385.94 จุด มาปิดที่ 315.30 จุด,ดัชนีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ลดลง 1,051.26 จุด หรือ 17.15% จาก 6,131.34 จุดมาปิดที่ 5,080.08 จุด,ดัชนีกลุ่มสถาบันการเงินลดลง 183.91 จุด หรือ 15.43% จาก 1,192.04 จุด มาปิดที่ 1,008.13 จุด, ดัชนีกลุ่มสื่อสารลดลง 15.50 จุด หรือ15.14% จาก 102.41 จุด มาปิดที่ 86.91 จุด

สำหรับมูลค่าการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าว นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 52,116.71 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ16,710.48 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 35,406.23 ล้านบาท

ในส่วนของราคารายหลักทรัพย์ใน 3 กลุ่มใหญ่ประกอบด้วยพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวลดลงสูงที่สุดในแต่ละกลุ่มโดยกลุ่มพลังงานหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวลดลงสูงสุด คือ บมจ.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาลดลง 27.50 บาท หรือ 22% จาก 125 บาท มาปิดที่ 97.50 บาท, บมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาลดลง 54 บาท หรือ 20.77% จาก 260 บาท มาปิดที่ 206 บาท, บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ราคาลดลง 10.50 บาท หรือ 15.56% จาก 67.50 บาทมาปิดที่ 57 บาท

กลุ่มธนาคารพาณิชย์ หุ้นที่ปรับตัวลดลงสูงสุด คือ ธนาคารทหารไทย หรือ TMB ราคาลดลง 1.08 บาท ลดลง 25% จาก 4.32 บาท มาปิดที่ 3.24 บาท,ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ราคาลดลง 16.50 บาท หรือ 24.44% จาก 67.50 บาทมาปิดที่ 51 บาท, ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ราคาลดลง 3.05 บาทหรือ 24.40% จาก 12.50 บาท มาปิดที่ 9.45 บาท, ธนาคารนครหลวงไทย หรือ SCIB ราคาลดลง 5.60 บาท หรือ 23.33% จาก 24.00 บาท มาปิดที่ 18.40บาท, ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ราคาลดลง 13 บาท หรือ 19.26% จาก 67.50 บาท มาปิดที่ 54.50 บาท

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์หุ้นที่ปรับตัวลดลงสูงสุด คือ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น หรือ SC ราคาลดลง 4.45 บาท หรือ 31.34% จาก 14.20 บาทมาปิดที่ 9.75 บาท, บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค หรือ PF ราคาลดลง 1.44 บาท หรือ 29.39% จาก 4.90 บาท มาปิดที่ 3.46 บาท, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ หรือ ITD ราคาลดลง 2 บาท หรือ 27.40% จาก 7.30 บาท มาปิดที่ 5.30 บาท,บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น หรือ STEC ราคาลดลง 1.90 บาท หรือ 22.49% จาก 8.45 บาท มาปิดที่ 6.55 บาท, บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ หรือ LH ราคาลดลง 1.80 บาท หรือ 21.43% จาก 8.40 บาท มาปิดที่ 6.60 บาท

ด้านมูลค่าตลาดรวม หรือมาร์เกตแคปของตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาดังกล่าวปรับตัวลดลงจาก 5,516,432.68 ล้านบาท มาอยู่ที่ 4,714,334.36ล้านบาท ลดลง 802,098.32 ล้านบาท หรือ 14.54% โดยกลุ่มพลังงานมาร์เกตแคปจาก 1,468,433.13 ล้านบาท มาอยู่ที่ 1,265,408.40 ล้านบาท ลดลง203,024.73 ล้านบาท หรือ 13.82%, กลุ่มธนาคารพาณิชย์มาร์เกตแคปจาก 905,801.88 ล้านบาท มาอยู่ที่ 753,552.15 ล้านบาท ลดลง 152,249.73 ล้านบาท หรือ 16.80%, กลุ่มสื่อสารมาร์เกตแคปจาก 527,403.34 ล้านบาท มาอยู่ที่ 466,905.80 ล้านบาท ลดลง 60,497.54 ล้านบาท หรือ 11.47%

แหล่งข่าวนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวว่า ทิศทางของตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงอยู่ในขาลงต่อไปแม้ว่าตลาดหุ้นบางประเทศจะเริ่มปรับตัวขึ้นได้บ้างแล้ว เนื่องจากผลกระทบที่ตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญไม่เพียงแต่ปัจจัยลบจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่จะปรับขึ้นอย่างแน่นอน แต่คงยังต้องรอว่าการปรับขึ้นในช่วงปลายเดือนนี้จะถึงจุดสิ้นสุดของดอกเบี้ยขาขึ้นหรือยัง รวมถึงราคาน้ำมันที่แม้ว่าจะปรับตัวลดลงมาบ้างแล้วแต่ยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูงและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะสามารถเข้าสู่สภาวะปกติได้ในเร็วๆนี้

ทั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยนอกเหนือจากปัจจัยลบของตลาดหุ้นเพื่อนบ้านคือไม่ชัดเจนทางการเมืองและความไม่เรียบร้อยของสถานการณ์ในประเทศ เพราะ ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้หรือไม่และหากเกิดขึ้นได้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และยังต้องมองต่อไปอีกว่าเสถียรภาพทางการเมืองหลังมีการเลือกจะเป็นอย่างไร

"การจะหาว่าแนวรับที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในรอบนี้เป็นเรื่องที่ยังมองได้ยากทิศทางจะเป็นอย่างไรคงจะต้องติดตามข้อมูลเป็นรายวัน เพราะหากมีข่าวดีหุ้นอาจจะรีบาวน์ขึ้นได้ แต่ถ้ามีปัจจัยลบหรือข่าลบเข้ามาอีกหุ้นจะลดลงไปถึงระดับเท่าไหร่เรายังประเมินไม่ได้"แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตามในช่วงสั้นปัจจัยทางด้านการเมืองที่นักลงทุนในประเทศจะต้องติดตามคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองระดับใหญ่ของประเทศ 2พรรคว่าจะมีคำสั่งให้มีการยุบพรรคหรือไม่ เพราะเรื่องดังกล่าวแม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องในประเทศแต่นักลงทุนต่างชาติกลับให้ความสนใจไม่น้อย เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของประเทศทั้งในเรื่องนโยบายในการบริหารงานและภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและมั่นใจให้กับนักลงทุน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us