พารากอน-เอ็มโพเรียม หันดึงกำลังซื้อจากต่างชาติ อัด 100 ล้านบาท ผนึกพันธมิตร ททท.- การบินไทย จัดแคมเปญ แจกฟรีคูปองส่วนลด สำหรับจับจ่ายสินค้าภายในห้าง พร้อมจับมือบริษัททัวร์อีกกว่า 100 ราย ให้คอมมิชชั่น 5% หวังดึงทัวร์เข้าชอปในศูนย์การค้า มั่นใจปั้นยอดขายจากกลุ่มต่างชาติได้โตอีก 20% ปิดตัวเลขไตรมาส 2 ได้ยอดขายกว่า 4,200 ล้านบาท

นางณัฐศมน วงศ์กิตติพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่สายการตลาด พารากอน/ดิ เอ็มโพเรียม ดีพาร์ทเม้นท์ สโตร์ เปิดเผยว่า ทางศูนย์มีแผนที่จะขยายฐานกลุ่มลูกค้าพร้อมกับการกระตุ้นกำลังซื้อ ทางบริษัทฯจึงได้ใช้กลยุทธ์แบบ Strategic Alliance หรือ พันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ ประกอบกับกลยุทธ์สร้างความแตกต่าง เป็นแผนในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะให้ความสำคัญของการกระตุ้นกำลังซื้อครั้งนี้เน้นตลาดต่างประเทศ และลูกค้าชาวต่างชาติเป็นหลัก ล่าสุดจับมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดรายการ Welcomes Thai Airways Passengers มอบบัตรส่วนลด 5-10% ให้กับลูกค้าต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยโดยสายการบินไทย เมื่อมาชอปปิ้งที่ พารากอนและดิเอ็มโพเรียมฯ

นอกจากนั้นยังได้จับมือกับ ทราเวล เอเย่นต์ ประมาณ 100 บริษัท จัดโครงการ Travel Agent Privilege โดยกลุ่มบริษัททัวร์ที่ได้รับคัดเลือกนี้จะได้ค่าคอมมิชชั่น 5% จากยอดซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยว และยังได้อีก 5% จากยอดรับประทานอาหารของนักท่องเที่ยวที่จองผ่าน ทราเวล เอเย่นต์ดังกล่าว ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ 1 กรกฎาคมศกนี้ ไปถึงสิ้นปี

“ปีนี้เป็นปีพิเศษของประเทศไทย ที่รัฐบาลจัดงานเฉลิมฉลองการครองสิริราชย์สมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายใต้แคมเปญไทยแลนด์แกรนด์อินวิเทชั่น ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เอ็มโพเรียม กับ พารากอน จึงจับมือกันบุกตลาดต่างประเทศ ภายใต้การสนับสนุนของ การบินไทย และ ททท.เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชอปปิ้งในศูนย์การค้าของเรามากขึ้น เพราะทั้ง 2 ห้างดังกล่าว ก็เป็นที่รู้จัก และมีลูกค้าเป็นชาวต่างชาติอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่ เอ็มโพเรียม ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าต่างชาติอยู่ที่40% โดยส่วนใหญ่เป็นต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย จากปีก่อนที่สัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะอยู่ที่ 30%”

ทั้งนี้ตลอดปี 2549 บริษัทฯตั้งงบประมาณสำหรับโปรโมทห้าง ดิ เอ็มโพเรียม และ สยามพารากอน ในต่างประเทศไว้ที่ 100 ล้านบาท จากงบการตลาดรวมทั้งหมดของบริษัทที่ 300 ล้านบาท มากกว่าปีก่อน ซึ่งยังไม่ได้เปิดตัวสยาม พารากอน โดยในปีก่อน งบการตลาดรวมของบริษัทจะอยู่ที่ 150 ล้านบาท ในที่นี้จะเป็นงบที่ใช้สำหรับสื่อในต่างประเทศประมาณ 20%

การโฆษณาและทำกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้ในต่างประเทศ เราจะอาศัยเครือข่ายของพันธมิตรเป็นหลัก เช่น เครือข่ายสำนักงาน ททท.ในต่างประเทศ เครือข่ายของการบินไทยในต่างประเทศ และ เครือข่ายและฐานข้อมูลลูกค้าของบัตรเครดิต HSBC เป็นต้น โดยจะทำทั้งรูปแบบโบว์ชัวร์ แผ่นป้ายโฆษณา และ ไดเร็กเมล ถึงตรงกับลูกค้า ทุกรูปแบบ

นอกจากนั้นยังได้ร่วมกับ การบินไทย และ โรงแรม-รีสอร์ทระดับหรู จัด แคมเปญ Paragon&Emporium Thai Pride ซื้อสิ้นค้าครบทุก 1,000 บาท ลุ้นรางวัล แพกเกจทัวร์ พร้อมรับคูปองส่วนลด 10-30% สำหรับซื้อสินค้าราคาปกติที่ร่วมรายการเริ่มตั้งแต่ 16 มิถุนายน-12 กรกฎาคม 49 และสำหรับสมาชิกบัตร Prestige จะได้ดับเบิ้ลคูปอง และเฉพาะที่ ดิเอ็มโพเรียม ผู้ใช้จ่ายผ่านบัตร HSBC ได้รับสิทธิ์ลุ้นรางวัลแพกเกจท่องเที่ยวด้วย โดยแคมเปญนี้ ต้องการสนับสนุนให้คนไทยและคนต่างชาติได้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยตามนโยบายของรัฐบาล

ขณะเดียวกันยังได้จัดกิจกรรม Emporium Travel Paradiso เปิดแสดง กิจกรรมด้านการท่องเที่ยวทางการกีฬา ได้แก่ เครื่องบินเพื่อการกีฬา เรือใบ และรถหรูคู่ใจการเดินทาง โดยภายในงานจะมีกิจกรรมส่งเสริมการขาย อาทิ แพกเกจท่องเที่ยวและโรงแรมที่พักแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ที่มามอบส่วนลดสูสุดถึง 50% พร้อมลุ้นรับรางวัล แพกเกจทัวร์ท่องเที่ยวในประเทศด้วย

นางณัฐศมน กล่าวว่า แคมเปญทั้งหมดที่จัดขึ้น คาดว่าจะเพิ่มยอดการจับจ่ายให้กับห้าง ดิ เอ็มโพเรียม และ สยามพารากอน ได้ไม่น้อยกว่า 15-20% โดยตั้งเป้ายอดขายที่จะได้จากแคมเปญนี้ระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ประมาณ 1,350 ล้านบาท แบ่งเป็นในส่วนของ พารากอน 750 ล้านบาท และ ดิ เอ็มโพเรียม 600 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ในไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทสามารถปิดยอดขายได้ที่ 4,200 ล้านบาท เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้โดยแบ่งเป็นยอดขายจาก พารากอน 2,500 ล้านบาท และ จาก ดิ เอ็มโพเรียม 1,700 ล้านบาท ซึ่งรายได้ยังคงเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ และเชื่อว่าจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายตลอดทั้งปี จะทำให้ถึงสิ้นปีนี้ ทั้งสองห้าง จะมียอดขายเป็นไปตามคาดหมาย คือ เอ็มโพเรียมประมาณ 7,000 ล้านบาท และ พารากอน ประมาณ 10,000 ล้านบาท