|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์หวังมาร์เกตแชร์ 0.5% เปรยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสวนโบรกฯอื่นที่ขายสุทธิ พร้อมคาดวอลุ่มการซื้อขายปีนี้เฉลี่ยเหลือ 1.6-1.8 หมื่นล้านจากปีที่ผ่านมากว่า 2 หมื่นล้าน คาดนำบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนได้ในช่วงไตรมาส 3-4 หากภาวะตลาดเอื้ออำนวย ระบุอยู่ระหว่างการหารือพันธมิตรร่วมดำเนินธุรกิจอนุพันธ์
นายเกษมสิทธิ์ ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทคาดว่าในปีนี้หากส่วนแบ่งการตลาด หรือ มาร์เกตแชร์ของบริษัทปรับขึ้นเป็นไปตามที่ได้มีการตั้งเป้าไว้ที่ 0.4-0.5% จากปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 0.2% จะสามารถทำให้บริษัทสามารถถึงจุดที่คุ้มต้นทุนในการบริหารงานจากปัจจุบันที่ยังขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจอยู่
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าจะสามารถเพื่อมาร์เกตแชร์ของบริษัทได้เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาซึ่งมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจนส่งผลต่อการปรับลดลงของดัชนีซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติแต่ในส่วนของบริษัทยอดซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติกลับเป็นการซื้อสุทธิรวมถึงมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเปิดบัญชีกับบริษัทมากขึ้นด้วย โดยปัจจุบันบริษัทมีบัญชีลูกค้าแล้วประมาณ 1,000 บัญชี
"ถ้าบริษัทสามารถเติบโตได้ตามที่มีการตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้ จะทำให้บริษัทถึงจุดคุ้มทุนได้หลังจากที่ช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังขาดทุนจากการดำเนินธุรกิจแต่เชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำได้เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาโบรกเกอร์ต่างๆมียอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติแต่ของเรามียอดซื้อสุทธิและยังมีการเปิดบัญชีเพิ่มอีกด้วย"นายเกษมสิทธิ์กล่าว
สำหรับมูลค่าการซื้อขายที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา บริษัทคาดว่าในปีนี้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 1.6-1.8 หมื่นล้านบาทต่อวันซึ่งปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน เนื่องจากปัจจุบันปัจจัยการทางเมือง ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน
อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมาโดยหากพิจารณาในปีนี้ที่ผ่านมาในไตรมาส 1 จะเป็นช่วงที่ธุรกิจหลักทรัพย์มีการเติบโตก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงไลว์ซีซั่นในช่วงไตรมาส 2-3 แต่ทั้งนี้ยังเชื่อว่าในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ตลาดหลักทรัพย์จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
นายเกษมสิทธิ์ กล่าวอีกว่า การเปิดสาขาใหม่เพิ่มของบริษัทคงขึ้นอยู่กับกลุ่มลูกค้าและภาวะตลาดหุ้นว่ามีความพร้อมหรือไม่ ซึ่งตามแผนของบริษัทที่วางไว้ปีนี้ บริษัทจะเปิด 2 สาขา โดยในขณะนี้เปิดไปแล้ว 1 สาขา ในส่วนของงานด้านวาณิชธนกิจของบริษัทคงต้องใช้เวลาอีกระยะ โดยบริษัทจะมีทั้งการเป็นที่ปรึกษานำบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวนประมาณ 3 บริษัท และการควบรวมกิจการ ซึ่งคาดว่าหากตลาดเอื้ออำนวยในช่วงไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 บริษัทอาจจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้
ในส่วนของธุรกิจนายหน้าซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อดำเนินธุรกิจ โดยอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจซึ่งคาดว่าจะอยู่ในแถบเอเชียด้วยกัน
"การเปิดสาขาเพิ่มคงต้องรอจังหวะที่เหมาะสมก่อน ส่วนเรื่องการทำธุรกิจในตลาดอนุพันธ์เรากำลังอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรเพื่อร่วมดำเนินธุรกิจซึ่งน่าจะเป็นบริษัทในเอเชีย"นายเกษมสิทธิ์กล่าว
|
|
|
|
|