Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน14 มิถุนายน 2549
นักลงทุนทิ้งหุ้นไอทีวี 1เดือนมาร์เกตแคปสูญหาย7พันล้าน             
 


   
www resources

โฮมเพจ สถานีโทรทัศน์ไอทีวี

   
search resources

ไอทีวี, บมจ.
TV




"ไอทีวี" เจอมรสุมระลอกใหญ่ ระยะเวลา 1 เดือน ราคาหุ้นร่วงไปแล้วกว่า 61% จากเดิมอยู่ที่หุ้นละ 9.35 บาท เหลือ 3.62 บาท หลังศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนคำตัดสินคณะอนุญาโตตุลาการ ทำให้ไอทีวีต้องปฏิบัติตามสัมปทานเดิม ขณะที่มาร์เกตแคปหายไปเกือบ 7,000 ล้านบาท เหลือเพียงกว่า 4,000ล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ มั่นใจศาลปกครองสูงสุดยืนคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ส่งผลให้ไอทีวีต้องชดเชยค่าสัมปทานและแบกภาระขาดทุนสุทธิยาวนานกว่า 7 ปี

หลังจากศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งเพิกถอนคำตัดสินคณะอนุญาโตตุลาการ กรณีพิจารณาค่าสัมปทานของบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV ว่าเกินขอบเขตของกฎหมาย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2549 ที่ผ่านมา ทำให้ไอทีวีต้องกลับไปจ่ายค่าสัมปทานตามสัญญาเดิมที่ปีละ 1,000 ล้านบาท หรือ 44% ของรายได้ และให้มีการเสนอข่าวและรายการที่มีสาระประโยชน์คิดเป็น 70%ของเวลาออกอากาศทั้งหมด

ทั้งนี้ ตามคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ กำหนดให้ไอทีวีจ่ายค่าสัมปทานเพียงปีละ 230 ล้านบาท หรือ 6.5% และการออกเสนอข่าวและรายการที่มีสาระประโยชน์ 50% ของเวลาออกอากาศทั้งหมด

จากประเด็นดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบทำราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนวิตกว่าการกลับไปปฏิบัติตามสัมปทานเดิมจะส่งผลต่อฐานะการดำเนินงานของไอทีวี จึงได้ขายทิ้งหุ้นที่ถืออยู่ออกมา แม้ว่าผู้บริหารจะมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด นักลงทุนยังคาดว่าศาลปกครองสูงสุดจะยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง

ทั้งนี้ จากการสำรวจราคาหุ้นไอทีวี ก่อนวันที่ศาลปกครองกลางจะมีคำสั่ง (8 พ.ค.) ที่มีราคาปิดอยู่ที่ระดับหุ้นละ 9.35 บาท และปรับตัวลงทันทีในวันต่อมาที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคือปิดที่ 6.55 บาท ลดลง 2.80 บาท หรือคิดเป็น 29.95% และหากเทียบกับราคาหุ้นณ วันที่ 8 มิถุนายน 2549 ซึ่งเป็นวันที่ครบรอบ 1 เดือน หุ้นไอทีวี ปิดที่ 3.62 บาท ลดลง 5.73 บาท หรือคิดเป็น 61.28%

หากพิจารณาในแง่ของมูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) นั้น ได้ปรับตัวลดลงอย่างมากเช่นกัน จากมูลค่าตามราคาตลาดรวมที่เคยอยู่สูงถึง 11,828.62 ล้านบาท (8 พ.ค. 49) มาอยู่ที่ระดับ 4,368.24 ล้านบาท (8 มิ.ย.) คิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาดรวมลดลงสูงถึง 6,914.38 ล้านบาท

นางสาวอรุณรัตน์ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด เปิดเผยว่า ราคาหุ้น บมจ.ไอทีวี ยังสามารถแก่วงตัวได้ ซึ่งเป็นโอกาสที่นักลงทุนเก็งกำไรจะเข้ามาลงทุนได้ เนื่องจากยังคงต้องรอคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดที่จะชี้ขาดเรื่องการจ่ายค่าสัมปทาน หลังจากที่บริษัทได้มีการอุทธรณ์คำตัดสินศาลปกครองได้เคยมีคำพิพากษาให้ไอทีวีจ่ายค่าสัมปทานตามสัญญาเดิม ทำให้บริษัทต้องรับภาวะจ่ายค่าชดเชยสัมปทานย้อนหลัง

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปีนี้จะต้องปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน เนื่องจากสัดส่วนรายได้ของบริษัทจากค่าโฆษณาที่จะต้องปรับลดลง เพราะสัดส่วนรายการที่ปรับลดลง รวมถึงเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศที่ชะลอตัว สำหรับราคาพื้นฐานนั้นของบริษัท แนวรับที่ 3.60 บาท และแนวต้านที่ 3.80 บาท

แบกขาดทุนสุทธิยาวกว่า 7 ปี

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) พัฒนสิน จำกัด (CNS) ประเมินว่า ในที่สุดแล้วไอทีวีมีแนวโน้มจะแพ้คดีในที่สุด แม้จะมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และถือเป็นเพียงเรื่องของการซื้อเวลาออกไปเท่านั้น โดยศาลปกครองสูงสุดจะมีการพิจารณาในวันที่ 19 มิถุนายนนี้ ซึ่งประเด็นที่สำคัญคือ การจ่ายค่าชดเชยที่จะมีการจ่ายทันทีหรือไม่ ดังนั้นแม้ไอทีวีจะยังคงไม่ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สิน มูลค่าเงินชดเชยย้อนหลังรวมดอกเบี้ยอีก 2,000 ล้านบาท ณ ขณะนี้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าแพ้คดีไอทีวีจะต้องทำการตั้งสำรองทั้งจำนวนอยู่ดีภายในปี 2549

"กรณีที่ไอทีวีแพ้คดีในชั้นศาลปกครองสูงสุด จะส่งผลทางลบทันทีต่อรายได้ช่วง prime time ให้ลดลงในอนาคต รวมถึงการกลับไปจ่ายต้นทุนสัมปทานเท่าเดิม ทำให้ไอทีวีต้องแบกรับผลขาดทุนสุทธิในอีก 7 ปีข้างหน้า ดังนั้นจึงยังคงแนะนำให้ขาย มูลค่าพื้นฐานอยู่ที่หุ้นละ 2.50"

มั่นใจศาลสูงสุดยืนคำพิพากษา

ด้านบล.นครหลวงไทย ระบุว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลปกครองกลาง โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาคดีประมาณ 3 - 6 เดือน หากไอทีวีต้องกลับไปใช้สัมปทานเดิมจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจของไอทีวีอย่างมาก

สำหรับแนวโน้มของผลการดำเนินหลังจากที่มีคำตัดสินแล้ว จะขึ้นอยู่กับการปรับตัวของไอทีวี ว่าจะสามารถทำรายการข่าวและสารประโยชน์ที่โดดเด่นกว่าอสมท หรือไม่ แต่คงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงแนะนำให้ "ขาย" มูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 3.28 บาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us