|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นทั่วโลกปั่นป่วนนักลงทุนยังกระหน่ำเทขายต่อเนื่อง ตลาดหุ้นจีนวูบวันเดียว 5.33% สูงที่สุดในรอบ 4ปี ขณะที่ตลาดหุ้นไทยร่วงหลุด 700 จุดแล้วต่ำที่สุดในรอบปี ขณะที่หากเทียบกับจุดสูงสุดของปีร่วงแล้วกว่า 12% ต่างชาติทิ้งไม่หยุดล่าสุดเพิ่มอีกเกือบ 4 พันล้าน โบรกฯลุ้นรีบาวน์ที่ 680 จุด ระบุยังหาจุดต่ำสุดรอบนี้ไม่ได้ "พิชิย อัคราทิตย์"ชี้เป็นจุดต่ำสุดแล้ว เชื่อเป็นจังหวะดีที่กองทุนเข้าลงทุน
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (7 มิ.ย.)ดัชนียังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตามการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นต่างประเทศประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดที่ยังไม่ชัดเจน ส่งผลทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาตลอดทั้งวันและปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 700 จุด ซึ่งดัชนีมาปิดที่ 688.22 จุดลดลง 13.82จุด หรือ 1.97% โดยดัชนีต่ำสุดของวันอยู่ที่ 685.80 จุด และจุดสูงสุดอยู่ที่ 697.90 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,241.07 ล้านบาท
การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,935.55 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 766.97 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 3,168.58 ล้านบาท
ด้านดัชนีตลาดหุ้นเมื่อเทียบกับราคาปิดช่วงสิ้นปี 2548 ซึ่งดัชนีอยู่ที่ 713.73จุด ลดลงแล้ว 25.51จุด หรือ 3.57% ขณะที่เมื่อเทียบช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบปีเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 785.38 จุด ซึ่งลดลงแล้ว 97.16 จุดหรือ 12.37%
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของดัชนีอย่างต่อเนื่องและค่อนข้างรุนแรงเนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับสัญญาณเรื่องการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐของเฟดว่าจะมีทิศทางใดหลังจากนี้
ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของดัชนี ณ ขณะนี้ยังมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงได้อีก เพราะหากพิจารณาการปรับขึ้นของดัชนีก่อนหน้านี้ยังถือว่าดัชนีที่ปรับตัวลดลงยังไม่เท่าระดับที่เคยปรับขึ้น โดยในส่วนของดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 18% แต่การปรับลดลงในรอบนี้ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 12-13%
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากดัชนีปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 680 จุดน่าจะเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาเหมือนช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 700 จุดเนื่องจากระดับพี/อีเรโชของตลาดหุ้นไทยถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก
"เรายังคงหาจุดต่ำสุดในรอบนี้ไม่ได้ เพราะแรงกดดันที่เกิดขึ้นจะสามารถคลี่คลายความกังวลได้ก็ต้องรอสัญญาณจากประธานเฟดเรื่องแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยก่อน"นายสุกิจกล่าว
สำหรับแนวโน้มการลงทุน นักลงทุนระยะสั้นที่ติดหุ้นในราคาที่สูงควรจะยอมขายขาดทุนเพื่อถือเงินสดก่อนจะเข้าไปซื้อเฉลี่ยเพื่อเก็งกำไร ขณะที่นักลงทุนระยะ 3-6 เดือนไม่น่าจะมีปัญหาเพราะราคาหุ้นน่าจะเริ่มกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติได้ในอีกไม่นาน
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (7มิ.ย.)ปรับตัวลดลง
เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศทั้งภูมิภาคเอซียและสหรัฐอเมริกามีการขายหุ้นออกมา ในกลุ่มธนาคาร ซึ่งปกติแล้วตลาดหุ้นจีนจะมีการปรับตัวลดลงไม่มาก แต่วานนี้มีการปรับตัวลดลงถึง 5.33% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบ 4 ปี จากนักลงทุนมีความกังวลในเรื่องการชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ย ของสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนลักษณะเก็งกำไรมีการขายหุ้นออกมาเพื่อเป็นการลดความเสี่ยง จึงส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ส่วนการที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (กนง.)มีการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% นั้นมีผลกระทบน้อยมากต่อดัชนีฯตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก ตลาดมีการปรับรู้แล้วไปก่อนหน้านี้
“ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 700 จุด ประเด็นหลักมาจากเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศมีการไหลออกทั้งภูมิภาคเอเซีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่มีการปรับตัวลดลง 5.33% ซึ่งมากที่สุดในรอบ 4 ปีของตลาดหุ้นจีน ซึ่งปกติแล้วดัชนีตลาดหุ้นจีนจะมีการปรับตัวลดลงน้อยที่สุดในภูมิภาคโดยมีแรงขายออกมาในหุ้นกลุ่มธนาคาร”นายแสงธรรมกล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (8 มิ.ย.)คาดว่าหากดัชนีมีการปรับตัวลดลงจากอยู่ที่ 682จุด ก็คาดว่าดัชนีฯจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยมีแนวรับที่ระดับ 680 จุด แนวต้านที่ระดับ 700 จุด
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า การที่ตลาดปรับลดลงถือว่าปรับตัวลดลงเกินคาดหลังกนง.ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ที่ 5.00%
ทั้งนี้ปัจจัยที่เกิดขึ้นเป็นการเคลื่อนไหวของตลาดมากกว่าจะมาจากปัจจัยพื้นฐาน แต่เชื่อว่าในช่วงสั้นจะกลับไปยืนเหนือระดับ 700 จุดได้อย่างไรก็าม ช่วงสั้นแนะนำให้นักลงทุนที่ชอบเก็งกำไรหลีกเลี่ยงการลงทุนและนักลงทุนระยะยาวควรรอจังหวะที่จะเข้าไปเก็บซื้อหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีแต่ราคาปรับลดลง เช่น พลังงาน แบงก์ และวัสดุก่อสร้าง
**กองทุนเชื่อถึงจุดต่ำสุดแล้ว
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)เอ็มเอฟซี จำกัด(มหาชน)กล่าวว่าแรงกดดันในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปคงลดลงแล้วหลังจาก ธปท.ปรับขึ้นดอกเบี้ยอาร์/พี อีก 0.25% เป็น 5% ซึ่งการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงต่ำกว่า 700จุดมาอยู่ที่ระดับ 680-700 จุด น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้วและถือเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนน่าจะเข้าไปลงทุนโดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
“ในเรื่องของปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะปรับลงไปกว่านี้แล้วโดยในช่วงที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 700-710 จุดเอ็มเอฟซีก็ได้เข้าไปลงทุนแล้ว ”นายพิชัยกล่าว
สำหรับปัจจัยทางด้านการเมืองส่งผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทางอ้อมอยู่แล้วเนื่องจากความไม่ชัดเจนดังกล่าวส่งผลต่อตัวเลขการลงทุนของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและหากไม่มีข้อสรุปโดยเร็วก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวได้
ด้านนายศุภกร สุนทรกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่าสาเหตุที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยลดลงต่ำกว่าแนวรับ 700 จุดเป็นเรื่องของเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลออกอย่างต่อเนื่องโดยล่าสุด นายเบน เบอร์นานกี ผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ออกมาให้สัญญาณว่ามีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในระยะต่อไปส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกซึ่งไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ได้รับผลกระทบเท่านั้นแต่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย
ทั้งนี้ มองว่าดัชนีที่ระดับปัจจุบันถือว่าหุ้นไทยมีราคาถูกแล้วอย่างไรก็ตาม เชื่อว่ามีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลงได้อีกเนื่องจากอาจจะมีบางกองทุนที่ยังคงโยกย้ายเงินออกไปจากตลาดหุ้นไทยโดยมองแนวรับในระยะต่อไปน่าจะอยู่ที่ 680 จุด ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการของบริษัทช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายังมองดัชนีตลาดหุ้นไทยช่วงสิ้นปีนี้ที่ 780 จุดโดยที่ไม่มีการปรับขึ้นหรือลงแต่อย่างใด ส่วนในระยะต่อไปจะปรับเป้าดัชนีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยเม็ดเงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย ยังคงอยู่ในภูมิภาคโดยการขายหุ้นแล้วโยกไปลงทุนในพันธบัตรหรือตลาดเงินเพื่อรอจังหวะที่อัตราดอกเบี้ยเฟดนิ่งแล้วก็จะกลับมาลงทุนอีกครั้ง
|
|
 |
|
|