บิ๊กพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯเตรียมรับส้มหล่น หากรถไฟฟ้าเกิด หลังแลนด์แบงก์เกือบ 80% ของในมืออยู่ตามแนวรถไฟฟ้า พร้อมปรับตัวรับสถานการณ์ราคาน้ำมัน-ดอกเบี้ยพุ่ง โหมทำตลาดสินค้าบ้านระดับราคาเฉลี่ย 3.7 ล้านบาท ยันเป็นระดับที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ เผยแนวโน้มยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 3,400 ล้านบาท เกินกว่าที่คาดไว้ พร้อมตั้งเป้ายอด ขายปีนี้ 8,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการบ้านเดี่ยว มั่นใจยอดขายปีนี้โต 25-30% จากปีก่อน หลังรับรู้รายได้จากโครงการเมโทร พาร์ค เฟส 1 ประมาณ 1,500 ล้านบาท
นายชายนิด โง้วศิริมณี กรรมการผู้จัดการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ ทำให้บริษัทฯต้องปรับตัว เพื่อรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยจะหันมาเน้นทำตลาดสินค้าระดับราคาเฉลี่ย 3.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ลดลงจากปีก่อนที่ราคาขายสินค้าจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4.7 ล้านบาท
'โดยระดับราคาสินค้าที่เฉลี่ย 3.4 ล้านบาท นั้นถือว่าเป็นราคาที่รองรับภาวะน้ำมันรวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้' นายชายนิดกล่าว
สำหรับเรื่องโครงการรถไฟฟ้า นายชายนิดกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)จะอนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้า 3 สาย ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง และก็มีแผนการรองรับโดยการซื้อที่ดินบริเวณแนวรถไฟฟ้าผ่านเพื่อพัฒนาโครงการ ซึ่งบริษัทมีที่ดินอยู่บริเวณแนวรถไฟฟ้าผ่านถึงประมาณ 80% ของที่ดินทั้งหมด โดยบริษัทมีที่ดินรอพัฒนา (Land Bank) ถือครองอยู่ 2,433 ไร่ เป็นที่ดินในย่านร่มเกล้า แจ้งวัฒนะ ปากเกร็ด สามารถรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า
'เดิมก่อนซื้อที่ดินก็ได้มีการศึกษามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง 80% ของที่ดินอยู่แนวรถไฟฟ้าผ่าน ซึ่งที่ดินสุวรรณภูมิ บริษัทมีอยู่ 4-5 โครงการ และบริเวณรถไฟสายสีม่วงมีอยู่ประมาณ 7-8 โครงการ เพราะฉะนั้นหากโครงการรัฐบาลเกิด บริษัทก็จะได้ประโยชน์มาก' นายชายนิด กล่าว
นายชายนิด กล่าวถึงยอดขายตั้งแต่ในช่วงต้นปีจนถึงเดือนมิ.ย.คาดว่า จะมียอดขายประมาณ 3,400-3,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 43% ของรายได้รวม ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ครึ่งปีแรกจะมียอดขายประมาณ 40% และในช่วงครึ่งปีหลังประมาณ 60%
พร้อมกันนี้ บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายปีนี้อยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาทโดยส่วนใหญ่จะมาจากโครงการบ้านเดี่ยว ประมาณ 6,000 ล้านบาทและจากโครงการคอนโดมีเนียม ประมาณ 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดว่ายอดขายในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 25-30% จากปีก่อน โดยส่วนหนึ่งจะมาจากการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมีเนียม เมโทร พาร์ค สาทร เฟส 1 จำนวนประมาณ 1,400-1,500 ล้านบาท และจากโครงการบ้านเดี่ยว ในขณะเดียวกัน จะมีการเปิดโครงการคอนโดมีเนียม เมโทร พาร์ค สาทร เฟส 2 ในเดือนก.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทมีแผนจะขึ้นราคาขายบ้านเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ของราคาขายเดิมในโครงการที่ประสบความสำเร็จ คือ โครงการเพอร์เฟคมาสเตอร์พีซ เอกมัย-รามอินทรา โครงการเพอร์เฟคเพลส รามคำแหง โครงการเพอร์เฟค เพลส สุขุมวิท 77 โครงการมณีรินทร์ 345 และโครงการคอนโดฯ เมโทร เพลส เฟสที่ 1 โดยแต่ละโครงการจะปรับราคาขึ้น 5% ขณะที่โครงการคอนโดฯ เมโทรพาร์คจะปรับราคาขายขึ้นอีก 10% ซึ่งมั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค เนื่องจากแต่ละโครงการมีจุดแข็งอยู่ที่ทำเลสาเหตุที่บริษัทขึ้นราคาขายบ้าน เนื่องจากต้องการเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปีนี้ให้เพิ่มเป็น 35% เท่ากับปีที่แล้ว หลังจากไตรมาสที่ 1 อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงอยู่ที่ 31.81% ลดลง 4.88% เมื่อเทียบกับอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาสเดียวของปี 48
โดย ปีนี้บริษัทน่าจะมียอดรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น 15% เทียบกับ 4,900 ล้านบาทในปี 2548 ซึ่งเป็นการปรับเป้าหมายรับรู้รายได้ลงจากเดิมที่ประเมินว่าจะมียอดรับรู้รายได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท
|