|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"ปิติ" สั่งทีพีไอหยุดขายน้ำมันให้บริษัทลูก "น้ำมันทีพีไอ" ที่ "ประชัย" กุมอำนาจบริหารอยู่ แจงค้างจ่ายค่าน้ำมันกว่าเดือนมูลค่าเฉียด 2 พันล้านบาท ชี้หากยังขายต่อไปจะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดในการซื้อน้ำมันดิบ ลั่นถึงเวลาทวงคืน 6 บริษัทลูกที่ทีพีไอถือหุ้น 100% ส่งหนังสือให้ "ประชัย" เรียกประชุมกรรมการเพื่อจัดประชุมผู้ถือหุ้นภายใน 60 วัน หากพ้นกำหนดจะใช้สิทธิผู้ถือหุ้นใหญ่เรียกประชุมผู้ถือหุ้นแทน ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ แย้ม เตรียมอนุมัติย้ายออกจากหมวดรีแฮปโกภายใน 1 สัปดาห์ หลังที่ประชุมผู้ถือหุ้นปลด "ประชัย" พ้นกรรมการ 20 ก.ค.นี้
นายปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ เปิดเผยว่า บริษัทตัดสินใจหยุดการส่งน้ำมันสำเร็จรูปให้บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ทีพีไอถือหุ้นร้อยละ 99.99 แต่อยู่ภายใต้การบริหารงานของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เนื่องจากบ.น้ำมันทีพีไอ ได้ค้างจ่ายเงินค่าน้ำมันเป็นเวลากว่า 1 เดือน นับตั้งแต่ศาลมีคำสั่งให้ทีพีไอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2549 คิดเป็นวงเงิน 2 พันล้านบาท
ทั้งนี้ หากบริษัทยังคงขายน้ำมันให้บ.น้ำมันทีพีไอต่อไปอีก 3 เดือน คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดของทีพีไอ ทำให้ไม่มีเงินสั่งซื้อน้ำมันดิบมากลั่นได้อีก ซึ่งในแต่ละเดือนต้องสั่งซื้อน้ำมันดิบเดือนละ 6 ล้านบาเรล คิดเป็นมูลค่า 420 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนน้ำมันสำเร็จรูปที่ไม่ได้ขายผ่านบ.น้ำมันทีพีไอแล้ว ทางบริษัทได้ประสานงานกับปตท.ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่จะรับน้ำมันเขียวไปจำหน่ายให้กลุ่มประมงแทนประมาณเดือนละ 1 พันล้านบาท ส่วนน้ำมันที่ขายผ่านปั๊มทีพีไอนั้นจะป้อนขายเฉพาะปั๊มที่เป็นของดีลเลอร์เท่านั้นคิดเป็นมูลค่า 300 ล้านบาท ส่วนที่บ.น้ำมันทีพีไอเป็นเจ้าของปั๊มได้หยุดขายทันที ซึ่งน้ำมันส่วนดังกล่าวจะขายตรงผ่านจ็อบเบอร์และปตท.ต่อไปประมาณ 300 ล้านบาท
"ยอมรับว่าบ.น้ำมันทีพีไอ ย่อมได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน หลังทีพีไอหยุดจำหน่ายน้ำมันให้ แต่บริษัทจำเป็นต้องทำเพื่อให้ทีพีไอได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หากปล่อยให้ล่วงเลยไปจะยิ่งลำบาก และบ.น้ำมันทีพีไอเองมีสิทธิที่จะไปซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นหรือผู้ค้าน้ำมันรายอื่น"
ที่ผ่านมา ทีพีไอจะขายน้ำมันให้บ.น้ำมันทีพีไอ เป็นวงเงินเดือนละ 1.5-2 พันล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมันเขียวเพื่อขายให้กลุ่มประมง 1 พันล้านบาท และขายน้ำมันสำเร็จรูปผ่านปั๊มทีพีไออีก 600 กว่าล้านบาท น้ำมันหล่อลื่น 10 กว่าล้านบาท โดยบ.น้ำมันทีพีไอจะมีหนี้ค้างค่าน้ำมันปกติแค่ 200-300 ล้านบาท โดยจะจ่ายค่าน้ำมันทุก 3-7 วัน แต่หลังจากนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และผู้บริหารเดิมตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ เข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทย่อยทีพีไอ 6 บริษัทนับจากศาลมีคำสั่งให้ทีพีไอออกจากแผนฯ เนื่องจากยังไม่มีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ทำให้อำนาจการบริหารงานยังอยู่ที่ผู้บริหารชุดเดิมอยู่
นายปิติ กล่าวต่อไปว่า แม้ว่าทีพีไอจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทย่อยทั้ง 6 บริษัท คือ บริษัท ไทย เอบีเอส จำกัด บริษัท ไทยโพลีออล จำกัด บริษัท ทีพีไอ อะโรเมติกส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท อุตสาหกรรมโพลียูริเทนไทย จำกัด บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด และบริษัท ผลิตไฟฟ้าทีพีไอ จำกัด แต่ทีพีไอกลับไม่มีอำนาจเข้าไปบริหารจัดการ ทำให้ค่อนข้างมีปัญหาตามมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ที่จะนำบริษัทย่อยดังกล่าวกลับมาบริหารเองให้ได้
โดยที่ประชุมคณะกรรมการทีพีไอได้เห็นชอบและได้ทำหนังสือถึงนายประชัย เพื่อขอให้มีการเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อให้จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในย่อยทั้ง 5 บริษัท (เว้นบมจ.ทีพีไออะโรเมติกส์ที่มีข้อยุ่งยากเนื่องจากเป็นบริษัทมหาชน) ภายในเวลา 30 วันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หากนายประชัย เพิกเฉยไม่มีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นภายในระยะเวลาดังกล่าว ตามกฎหมายผู้ถือหุ้นมีสิทธิที่จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นได้เพื่อขอเปลี่ยนกรรมการ ซึ่งการจะปลดกรรมการชุดเดิม ได้นั้นจำเป็นต้องเป็นมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ตนไม่สามารถปลดกรรมการได้
เดิมปัญหาที่เกี่ยวกับบริษัทย่อยนั้น ทางผู้บริหารแผนฯทีพีไอได้เล็งเห็นปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ต้องการดำเนินการที่บริษัทแม่ คือ ทีพีไอก่อน จึงได้มีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นในวันรุ่งขึ้นหลังศาลมีคำสั่งให้ออกจากแผนฯ ขณะที่บริษัทลูกความจริงจะต้องตามรอยทีพีไอ แต่ทางผู้บริหารเดิมได้ประกาศเข้ามาบริหารงานบริษัทย่อยทั้ง 6 ซึ่งตามข้อกฎหมายเราไม่มีสิทธิ
ส่วนบริษัทไทยเอบีเอส และบริษัททีพีไอโพลีออลนั้น ปัจจุบันยังมีการค้าขายกับทีพีไอก็ยังดำเนินการตามปกติ โดยทีพีไอยังส่งวัตถุดิบให้อยู่ ไม่ได้มีการหยุดป้อนวัตถุดิบแต่อย่างใด
นายปิติ กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นส่งผลให้การเจรจาเพื่อรีไฟแนนซ์มูลหนี้ 950 ล้านเหรียญทำได้ยุ่งยากขึ้น ทำให้เราตอบปัญหากับแบงก์ได้ลำบาก ดังนั้นคงต้องเร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ลุล่วง คาดว่าทีพีไอจะดำเนินการรีไฟแนน์หนี้ได้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ ตนได้รับหนังสือจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าจะอนุมัติให้ทีพีไอออกจากรีแฮปโกจนกว่าจะดำเนินการปลดกรรมการที่ถูกกล่าวโทษจากก.ล.ต.ในคดีปั่นหุ้นทีพีไอโพลีน ซึ่งในวันที่ 20 ก.ค.นี้จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นทีพีไอเพื่อพิจารณาปลดนายประชัย ออกจากการเป็นกรรมการ และขอมติที่ประชุมเพื่ออนุมัติแผนการลงทุนในอนาคต ส่วนปัญหาทีพีไอออยล์นั้น เชื่อว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการออกจากรีแฮปโกของทีพีไอ เพราะเป็นคนละบริษัทกัน
ทั้งนี้ ทีพีไอมีมูลค่าการทำการค้าปีละ 2 แสนล้านบาท มาจากธุรกิจปิโตรเคมีประมาณ 30-35 % และน้ำมัน 60-65%
บริษัท น้ำมันทีพีไอมีทุนจดทะเบียน 2 พันล้านบาท โดยทีพีไอถือหุ้น 99.99% ซึ่งหนี้จำนวน 2 พันล้านบาทที่ค้างทีพีไออยู่นั้น นายปิติ กล่าวว่าจะยังไม่มีการดำเนินการฟ้องร้องในช่วงนี้ เนื่องจากเห็นว่าบ.น้ำมันทีพีไอเป็นบริษัทลูก แต่หากจำเป็นก็คงต้องทำ ทั้งนี้ หากนายประชัยมีการจ่ายเงินค่าน้ำมันก็พร้อมที่ขายน้ำมันให้ต่อไป
ด้านนายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาทีพีไอได้ยื่นหนังสือคำร้องมายังตลาดหลักทรัพย์เพื่อที่จะออกจากหมวดฟื้นฟูกิจการ (รีแฮปโก) แล้ว แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะพิจารณาในเรื่องดังกล่าว เมื่อ ทีพีไอได้มีการดำเนินงานแก้ไขเรื่องคุณสมบัติของกรรมการให้เป็นไปตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ ก่อน
ทั้งนี้ หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นทีพีไอในวันที่ 20 ก.ค.นี้ มีมติปลดนายประชัย จากการเป็นกรรมการ ในกรณีที่ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษคดีปั่นหุ้นบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หลังจากนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้เวลาในการพิจารณาให้ทีพีไอ ออกจากหมวดรีแฮปโก ภายใน 1 สัปดาห์
|
|
|
|
|