|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นักเศรษฐศาสตร์สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดแบงก์ประเมินเงินทุนจากต่างประเทศมีโอกาสไหลออกจากตลาดหุ้นย้ายไปซื้อพันธบัตรภายในครึ่งปีหลัง ภายใต้เงื่อนไข 3 เรื่อง"ราคาน้ำมัน-ทองคำ,เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว,ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว" ขณะที่มาริษมองดัชนีปีนี้มีโอกาสแตะระดับ 820-850 จุด ชี้มีหุ้นดีๆ ในตลาดมากแต่สภาพคล่องน้อย สวนทางบล.ทิสโก้ ที่มองตลาดหุ้นไทยฟื้นเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้า ไตรมาส4/49 จากปัจจัยการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ช่วงสั้นเม็ดเงินยังไม่เข้าเหตุ มีปัจจัยเสี่ยงสูง
วานนี้(5 มิ.ย.)นิตยสาร Money & Wealth ได้จัดสัมมนาประจำเดือนมิถุนายน 2549 ในหัวข้อเกาะกระแสเงินทุนต่างชาติ...ทิ้งหุ้นไทยจริงหรือ โดยมีนายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ไอเอ็นจี(ประเทศไทย),นายไพบูลย์ นลินทรางกูร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด และนางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ที่หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นางสาวอุสรา กล่าวว่า การที่นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นออกมาในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้นถือเป็นการขายทำกำไร และเงินทุนดังกล่าวยังไม่ได้ย้ายออกไปต่างประเทศ โดยได้ไปพักไว้ในนอนเรทซิเด้น หรือในตลาดพันธบัตรระยะสั้น เพราะนักลงทุนต่างประเทศมองว่ายังมีโอกาสอีกรอบที่ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง ขณะที่ค่าเงินในภูมิภาคจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่จะทำให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นอีกครั้ง เพราะเงินทุนต่างประเทศสามารถเข้ามาสร้างกำไรจากค่าเงินได้อีกรอบและเชื่อว่าการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศนี้มีโอกาสเกิดขึ้นภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า แต่จะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ก็มีปัจจัยที่น่ากังวลว่าอาจจะส่งผลทำให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลออกจากตลาดหุ้นนั้น จะต้องติดตามปัจจัย 3 เรื่องได้แก่ปัจจัยเกี่ยวกับราคาของน้ำมัน,ทองคำ ที่แสดงให้เห็นว่าไม่สามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้,สัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอย่างชัดเจน จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งถ้า3 ปัจจัยดังกล่าวเกิดขึ้นพร้อมกัน ก็จะทำให้เงินทุนต่างประเทศไหลออกจากตลาดหุ้นได้ เพื่อที่จะไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่นลงทุนในตลาดพันธบัตรเป็นต้น ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นภายในครึ่งปีหลังนี้ได้เช่นกัน
"ระยะที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้ขายทำกำไรในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง ทางธนาคารได้ติดตามเงินเหล่านี้อย่างใกล้ชิดพบว่านักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ขนเงินออกนอกประเทศ เพียงแต่พักอยู่ในตลาดเงินเช่นการลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น และบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ สาเหตุที่ยังพักเงินไว้เพื่อต้องการทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกระลอก เพราะค่าเงินสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าได้อีก แต่จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเพียง 1-2 เดือนนี้เท่านั้น"นางสาวอุสรากล่าว
ทั้งนี้ ภายในครึ่งปีแรกถือว่าอัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวนก็จริง แต่ในครึ่งปีหลังจะมีความผันผวนมากกว่าครึ่งปีแรก โดยค่าเงินดอลลาร์ถือว่ามีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าลงได้อีกรอบ รวมถึงดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก โดยประเมินว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่ประกาศออกมามีการขยายตัวถึง 6% สืบเนื่องจากการส่งออกที่มีความแข็งแกร่งแต่คาดการณ์ว่าไม่สามารถชดเชยการการบริโภคและการลงทุนที่หายไปได้ และคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ช้าลงจนทำให้ทั้งปีมีการเติบโตเพียง 4.1% ส่วนในปีหน้าคาดว่าจีดีพีจะอยู่ในระดับ 4.4-4.5% ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะอยู่ในระดับ 5.2% สาเหตุที่ลดลงภายใต้สมมุติฐานว่าปัจจัยทางการเมืองยังยืดเยื้อต่อไป และส่งผลทำให้โครงการเม็กกะโปรเจคต้องล่าช้าออกไปอีก
นางสาวอุสรากล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกภายในปีหน้าถือว่าน่าเป็นห่วงมากกว่าปีนี้ เพราะมองว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐและจีนคงจะชะลอตัวมากขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นถึงแม้จะฟื้นตัว แต่ก็เป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่สามารถทดแทนการที่ 2 ประเทศใหญ่ที่เศรษฐกิจชะลอลง ส่วนประเทศในยุโรปนั้นเศรษฐกิจก็ยังถูกกดดันอยู่ไม่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง
นายมาริษกล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 820-850 จุดได้เช่นกัน ภายใต้เงื่อนไขว่ามีปัจจัยบวกทั้งเงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลกลับเข้ามาเหมือนกับในช่วงต้นปีที่ผ่านมาและปัจจัยทางการเมืองคลี่คลายลงในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อตัวเลขเศรษฐกิจของไทยได้เช่นกัน
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาการที่มีเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามาซื้อในตลาดหุ้น คาดว่าเกิดจากบางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมหรือ บลจ.อาจจะมีเงินทุนใหม่เข้ามาซึ่งจะมาทั้งจากการจัดตั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาวหรือ LTF หรือบางบลจ.อาจจะมีการเทขายหุ้นออกไปในช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมาสูง ดังนั้นเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 700 จุดต้นๆ จึงเข้ามาซื้อ โดยปัจจัยที่จะต้องจับตามองได้แก่ปัจจัยทางการเมืองว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งถือว่ามีผลต่อสภาพเศรษฐกิจ และทิศทางของราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ย
สำหรับพอร์ตการลงทุนของบลจ.ไอเอ็นจีนั้น นายมาริษกล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่จะมีหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์เป็นกลุ่มที่มีมาร์เกตแคปใหญ่ ดังนั้นกองทุนจึงจำเป็นจะต้องมีหุ้นในกลุ่มดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามทิศทางของตลาดโดยรวมขณะที่หุ้นที่มีศักยภาพที่ดีมีแนวโน้มการเติบโตซึ่งอยู่ในกลุ่มอุปโภคและบริโภคนั้น ถือเป็นหุ้นที่น่าสนใจแต่หุ้นเหล่านี้จะมีสภาพคล่องน้อย ทำให้ไม่สามารถซื้อได้ในจำนวนมากๆ
"ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นที่ดีๆ หลายบริษัทแต่หุ้นเหล่านี้ถือว่ามีสภาพคล่องน้อย หุ้นเหล่านี้เราจึงลงทุนไม่มากนัก"นายมาริษกล่าว
ทั้งนี้ ถ้าเชื่อมั่นว่าสภาพเศรษฐกิจยังมีทิศทางที่ดี นักลงทุนก็สามารถทยอยซื้อได้เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง แต่ระยะเวลาการถือครองหุ้นจะต้องลงทุนอย่างน้อยเป็นเวลา 12 เดือนขึ้นไป
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าเม็ดเงินต่างประเทศต่างประเทศจะยังไม่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-4 เดือนนี้ ทำให้ภาวะตลาดหุ้นในช่วงดังกล่าวยังคงผันผวน เนื่องจาก มีปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกมีการชะลอตัว และปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ยังไม่ชัดเจนรวมถึงไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามากระตุ้นการลงทุน
ทั้งนี้ หากปัจจัยการเมืองมีความชัดเจนก็คาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยในไตรมาส4/49ทำให้ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่หากปัจจัยการเมืองยังไม่ชัดเจนเม็ดเงินต่างประเทศก็จะไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทยในไตรมาส1/50 โดยหากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีการชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย หรือปรับลดดอกเบี้ย ก็จะทำให้นักลงทุนมีการถือสินทรัพย์ที่เป็นดอลลาร์น้อยลง
อย่างไรก็ตาม หากเม็ดเงินไหลเข้ามาตลาดหุ้นในแถบเอเชียมากขึ้นนั้นเม็ดเงินดังกล่าวจะยังไม่ไหลเข้ามาตลาดหุ้นไทย เนื่องจากตลาดหุ้นไทยมีขนาดที่เล็กและไม่มีสินค้าใหม่เข้ามาสร้างความน่าสนใจให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุน ถึงแม้ตลาดหุ้นไทยจะถูกก็ตาม ดังนั้นเม็ดเงินต่างประเทศจะไหลเข้าตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่ก่อน เช่น ตลาดหุ้นฮ่องกง เกาหลี และ ไต้หวัน การที่ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จะต้องมีการแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจโดยรวม หากเฟดมีการปรับลดดอกเบี้ย เชื่อว่าตลาดหุ้นในปี 50 น่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในช่วงนี้ภาวะตลาดหุ้นยังไม่ดีแนะนักลงทุนที่ถือหุ้นให้ยังถือหุ้นอยู่แต่นักลงทุนที่ยังไม่เข้าลงทุนก็ไม่ควรที่จะรีบร้อนเข้ามาลงทุน จากที่ได้มีการพบกับนักลงทุนต่างประเทศ มองภาพตลาดหุ้นไทยดีขี้น เพราะ ที่ผ่านมาดัชนีฯก็ได้มีการปรับตัวลดลงไปแล้ว ซึ่งหากจะมีการปรับตัวลดลงอีกก็จะไม่มาก จึงมีการเลือกซื้อหุ้นที่มีปัจจัยที่ดี เช่น หุ้นกลุ่มเกษตร เนื่องจาก มีความเสี่ยงต่ำและปันผลดี
|
|
|
|
|