|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
หน้าตาผลประกอบการไตรมาส 1 ที่ไม่ค่อยสดสวยงดงามเท่าที่ควร ของธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอนเทนต์โพรไวเดอร์ ซึ่งกุมธุรกิจสื่ออยู่ในมือมากมายอย่าง แกรมมี่(GMM) และ อาร์เอส(RS) เจ้าใหญ่ไม่กี่รายในตลาด เริ่มสะท้อนให้เห็นว่า ช่วงที่ผ่านมา ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากภาวะรายรอบอย่างไม่มีการปราณี ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจที่อยู่ในช่วงขาลง สินค้าปลอมแปลงและการดาวน์โหลดเพลงในอินเตอร์เน็ตระบาด ท่ามกลางราคาน้ำมันที่ไม่มีท่าทีจะหยุดนิ่งได้ง่ายๆ ผนวกกับกำลังซื้อหดหาย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคถดถอย ผสานกับบรรยากาศการเมืองที่ค่อนข้างอึมครึมเข้าครอบงำ....
ผลประกอบการของแกรมมี่ ส่อเค้าว่าเริ่มมีสัญญาณความสามารถทำกำไรลดลงมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1 ปี 2548 จาก 45 ล้านบาท ลดลงมาที่ 4.75 แสนบาทในช่วงไตรมาส 1 ปีนี้ โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากการออกอัลบั้มเพลงลดลง ธุรกิจวิทยุแย่ลงมาก ขาดทุนจากธุรกิจภาพยนตร์ ดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้น และ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 20 ล้านบาท
ยอดขายเพลงมีจำนวนที่ลดลงทำให้มีการเลื่อนวางแผงอัลบั้มหลักออกไป(อาทิ อัสนี-วสัน ปาล์มมี่ เบิร์ดเสก พลพล ต่าย อรทัย ฯลฯ) โดยไตรมาสแรกปีนี้ แกรมมี่ได้ออกอัลบั้มเพียง 42 ชุด(30 อัลบั้มใหม่และ 12 อัลบั้มรวมเพลงฮิต) ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีถึง 55 ชุด( 36ใหม่และ 19 อัลบั้มรวมเพลงฮิต)
ประกอบกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในวงการวิทยุทำให้ยอดขายโฆษณาลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปี 48 เพื่อที่จะฟื้นฟูกำไรส่วนนี้ จีเอ็มเอ็มมีเดีย (GMMM)บริษัทลูกที่แกรมมี่ถือหุ้นใหญ่ 79% จึงได้ตัดสินใจเลิกออกอากาศคลื่น FM88 Buzz Radio ซึ่งมีค่าเช่าสูงกว่าสถานีอื่นถึง40% รวมถึงยังได้หยุดการออกอากาศ คลื่น EFM ผ่านสัญญาณดาวเทียม เป็นกลยุทธ์ลดต้นทุนมากกว่าเพิ่มยอดขาย
นอกจากนี้ยังมีความผิดพลาดจากการขยายการลงทุนในธุรกิจข้างเคียง โดยหวังว่าจะมาเป็นแรงผลักดันช่วยให้บริษัทแม่มีรายได้และกำไรเติบโต แต่ด้วยความที่ไม่ถนัด และตัดสินใจ ไม่รอบคอบ ผสมโรงกับชื่อเสียงที่เข้าไปเกี่ยวโยงกับการเมืองอย่างสนิทแนบแน่น ก็ยิ่งทำให้ธุรกิจบอบช้ำ
...แกรมมี่จึงเสียทั้งเงิน ชื่อเสียง บวกกับถูกต่อต้านสินค้าจากทุกสารทิศ จนกลายเป็นรอยด่างพร้อย....
ที่เห็นได้ชัดก็คือ การแต่งเพลงชาติทำนองใหม่ การรุกซื้อหุ้นหนังสือพิมพ์มติชนและโพสต์จนต้องยุติลงในทันที ภาพยนตร์เรื่อง หมากเตะ ที่มีเนื้อเรื่องล้อเลียนชาวลาว ฉีกแนวไปจากหนังที่สะท้อนชีวิตหนุ่มสาวก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็น แฟนฉันหรือมหาลัยเหมืองแร่ ทำให้ต้องประกาศเลิกฉายไป
หรือแม้กระทั่งวิทยุคลื่นข่าว 94.0 Open Radio ที่ปิดฉากไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ว่ากันว่านอกจากประสบภาวะขาดทุน ก็มีการร้อยเรื่องเข้ากับเหตุผลทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกที่คาดว่าจะส่งผลในไตรมาส 2 ปีนี้ น่าจะมาจากการออกอัลบั้มหลักที่เลื่อนมาจากไตรมาส 1 ประกอบกับการเป็นผู้นำในตลาดเพลงด้วยส่วนแบ่งกว่า 70% จะส่งผลให้ธุรกิจ e-business และการจัดเก็บลิขสิทธ์ต่างๆเติบโตตามไปด้วย
นอกจากนั้น ธุรกิจวิทยุก็จะมีการฟื้นตัวหลังคืนคลื่นไปแล้ว ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง ขณะที่ธุรกิจจัดกิจกรรมทางการตลาดที่มี อินเด็กซ์ อีเวนท์เอเยนซี่ บริษัทลูกดำเนินการอยู่ ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากส่วนหนึ่งของโครงการนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มูลค่าราว 100 ล้าน
ถึงแม้ว่ารายได้และกำไรสุทธิจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องของ แกรมมี่ อาทิ ลิขสิทธิ์ E-Business การบริหารศิลปิน การจัดกิจรรมทางการตลาด จะช่วยเสริมรายได้และกำไร แต่รายได้ส่วนนี้ใน 6-12 เดือนข้างหน้าก็ยังไม่เพียงพอจะชดเชยการชะลอตัวของผลกำไรจากธุรกิจหลัก "เพลงและวิทยุ"
"เราเชื่อว่ากำไรสุทธิของ แกรมมี่ ยังไม่ผ่านจุดต่ำสุด ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวลง และมีทิศทางที่ต่ำกว่าตลาดรวม แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะซื้อหุ้นตัวนี้" นักวิเคราะห์จาก บล.กิมเอ็งให้ความคิดเห็น
ในฝั่งของ อาร์เอส (RS) เร็วๆนี้ก็ได้มีการผ่าตัดใหญ่องค์กร ด้วยการ "รีแบรนดิ้ง" มุ่งสู่ธุรกิจมัลติมีเดีย โดยลดธุรกิจเพลงลง ตลอดจนได้ตั้งสำรองสินค้าคงเหลือประเภทเพลงและแผ่นวีซีดีหนังไปเกือบหมดในปีที่แล้ว
ค่ายนี้ยังได้นำคอนเทนต์ไปต่อยอดในธุรกิจหลักทั้งเพลงและสื่อ นั่นคือ นำผลงานศิลปินไปขยายทำรายได้ทั้งสินค้าเพลง ลิขสิทธ์ และคอนเสิร์ตอย่างครบวงจร
รวมถึงมีรายได้จากการรับจ้างผลิตจัดกิจกรรมทางการตลาดที่สูงถึง 146.303 ล้านบาทเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนที่มีเพียง 58.55 ล้านบาท จากอีเวนต์ขนาดใหญ่อาทิ WWE Smack Down LIVE in Bangkok 2006 คอนเสิร์ต 36 ปีช่อง 3 พัทยาอินเตอร์เนชั่นแนล มิวสิก เฟสติวัล 2006 ส่งผลถึงกำไรสุทธิที่ออกมารวม 7.845 ล้านบาท หลังจากผลประกอบการในปี 2547-2548 ขาดทุนติดต่อกันหลายไตรมาส
ส่วนธุรกิจเพลงไตรมาส 1 ปีนี้ อาร์เอสมีจำนวนการออกอัลบั้มมากขึ้น แต่รายได้ต่อชุดลดลง จากไตรมาสของปี 2548 ที่มี 51 ชุด(35 อัลบั้มใหม่และ 16 อัลบั้มรวมเพลงฮิต) มียอดขายเฉลี่ยต่อชุด 3.9 ล้านบาท เป็น 58 ชุดในไตรมาสแรกของปีนี้(22 อัลบั้มใหม่และ 36 อัลบั้มรวมเพลงฮิต) มียอดขายเฉลี่ย 3.3 ล้านบาทลดลง 15%
แต่ภาพรวมในส่วนเพลงก็ยังโต 13% ทั้งนี้เพราะ การทำอัลบั้มรวมฮิตมีต้นทุนที่ต่ำกว่าอัลปั้มของนักร้องใหม่นอกจากนี้ยังมีกระแสตอบรับดีกว่า เห็นได้จาก อัลบั้มหนุ่มบาว-สาวปาน ที่มียอดขายเกินล้านบาทในเวลาเพียงไม่นานนัก ประกอบกับรายได้จากการจัดเก็บลิขสิทธ์มีการเติบโตขึ้นถึง 20%
นอกจากนี้ยังมีรายได้จากสื่อวิทยุที่มีทั้งจำนวนคลื่นและความนิยมเพิ่มขึ้น เป็นผู้นำตลาดและกำลังจะมีการขึ้นค่าโฆษณาอีก 20% ในไตรมาสนี้ รวมถึงนสพ.บันเทิงดาราเดลี่ ที่จะช่วยให้รายได้จากสื่อสิ่งพิมพ์ของอาร์เอสซึ่งมีฐานรายได้เล็กโตขึ้นได้อย่างมากและกำลังจะถึงจุดคุ้มทุนแล้ว
ปัจจัยบวกในช่วงไตรมาส 2 ที่จะเห็นได้คือการออกอัลบั้มของศิลปินที่มีชื่อเสียงของค่ายซึ่งเคยมียอดขายเกินล้านชุดมาแล้วออกมาอีก ไม่ว่าจะเป็น แดน-บีม, โปงลางสะออน, โฟร์-มด ฯลฯ รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง "รักจัง" ที่นำแสดงโดย ฟิล์ม รัฐภูมิ และพอลล่า ซึ่งสามารถทำกำไรได้แน่นอน
อย่างไรก็ดี ภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรงจากผู้ประกอบการรายใหญ่รวมถึงสินค้าปลอมแปลงทำให้แนวโน้มยอดขายเทปและวีซีดีมีการขยายตัวในระดับจำกัด ประกอบกับการที่ผู้บริโภคที่หันมานิยมความบันเทิงในรูปแบบ MP3 มากขึ้น ทำให้มีรูปแบบการขายในช่องทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้น แต่ก็ไม่สามารถชดเชยรายได้การขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลงได้
รวมถึงปัจจัยลบจากช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านมือถือในส่วนที่เป็นนิวมีเดียที่ในช่วงนี้เครือข่ายมีปัญหาโทรติดยากทำให้มีรายได้จากส่วนนี้ลดลง 17% แต่ก็คาดว่าในช่วงไตรมาส 3เป็นต้นไปปัญหาดังกล่าวก็น่าจะแก้ไขได้และมียอดขายที่เพิ่มขึ้นตามยอดขายโทรศัพท์มือถือที่ขยายตัวและพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อผ่านช่องทางดังกล่าวมากขึ้นได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนปัจจัยลบที่จะส่งผลธุรกิจจนถึงสิ้นปีนี้คือ รายการทีวีที่ตอนนี้แม้จะมีเวลาออกอากาศถึง 1,385 นาที/สัปดาห์แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงหลัง 24.00 น.และจำนวนโฆษณาก็ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นไปในลักษณะการสนับสนุนเพลงของค่ายตัวเองมากกว่า ถือได้ว่าเป็นอุปทานส่วนเกินอยู่
รวมถึงภาพยนตร์ที่มีในไตรมาส3 และ 4 จะออกมาอีกช่วงละเรื่องเป็นแนวตลกและแนวผี มีโอกาสขาดทุนมากกว่ากำไรเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาการดำเนินงานในธุรกิจนี้ของอาร์เอสจะขาดทุนมากกว่ากำไรไม่ว่าจะเป็น เดอะเมียไทยถีบ ผีเสื้อสมุทรฯลฯ
นอกจากนั้นในช่วงปีนี้ ก็ยังมีหนังระดับบล๊อกบลาสเตอร์เข้าฉายจำนวนมาก ทำให้ระยะเวลาการฉายหนังฟอร์มเล็กสั้นลง ส่วนโครงการรับจ้างผลิตขนาดใหญ่ที่จะเป็นข่าวดีขณะนี้ก็ยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญา
แม้ แกรมมี่ และ อาร์เอส จะมีตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิก็ยังคงอยู่ในระดับที่ติดลบสำหรับค่ายแกรมมี่ และเพิ่มขึ้นน้อยเพียงระดับ 1%สำหรับอาร์เอส เมื่อเทียบกับสภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่โดยเฉลี่ยที่มีการเพิ่มขึ้นของกำไร 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
เท่านี้ย่อมชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจสื่อบันเทิงครบทุกรูปแบบได้เดินทางมาใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ลำพังการดำเนินธุรกิจนี้อย่างเดียวโดยไม่ขยายอาณาจักรออกไปก็คงยากที่จะเติบโตอย่างราบรื่น....
|
|
 |
|
|