|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"บีเอสซี" ชูโมเดลมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ต้นแบบ เล็งแตกไลน์สินค้าข้ามสายพันธุ์ ปั้นแบรนด์จากกลางค่อนบนลงสู่ตลาดก้ำกึ่งแมส จากธุรกิจเสื้อผ้า-เครื่องสำอาง ลามสู่คอนซูเมอร์โปรดักส์ลุยตลาดเพื่อสุขภาพ ระบุสนใจผุดชอปจำหน่ายสินค้าครบทุกไลน์ ส่วนปีนี้อัดฉีดงบการตลาด 100 ล้านบาท สิ้นปีรายได้แตะ 2 พันล้านบาท
นายธรรมรัตน์ โชควัฒนา กรรมการ บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวทางการทำตลาดของแบรนด์"บีเอสซี" จะมีโมเดลคล้ายกับ"มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์" โดยภายใต้แบรนด์เดียวกันแต่จะมีการทำตลาดข้ามสายพันธุ์ เช่น มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ มีการทำไลน์ธุรกิจตั้งแต่เสื้อผ้ามาสู่การทำสกินแคร์และขนมขบเคี้ยว
สำหรับจุดกำเนิดของบีเอสซี เริ่มต้นด้วยการสร้างแบรนด์จากเสื้อผ้าผู้หญิง เครื่องสำอาง เสื้อผ้าผู้ชาย ชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ จากนั้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ บีเอสซีเริ่มแตกไลน์ธุรกิจสู่ตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค
การแตกไลน์ใหม่นี้นำร่องด้วยการเปิดตัวยาสีฟัน-แปรงสีฟันไฮเฮิร์บ โดย "บีเอสซี" หรือ Hi Herb by bsc ตามด้วยการเปิดตัวชาเขียวพร้อมดื่ม กระดาษเช็ดหน้าและเมื่อย่างก้าวสู่ปีที่ 6 ในปีนี้บีเอสซีเปิดตัวด้วยการลงสู่ตลาดแผ่นอมระงับกลิ่นปาก
สำหรับการรุกตลาดคอนซูเมอร์ภายใต้แบรนด์"บีเอสซี"เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับแมสเป็นหลัก ส่วนกลุ่มเสื้อผ้า เครื่องสำอาง ฯลฯ จะเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับกลางค่อนบน ส่งผลให้แบรนด์บีเอสซีในขณะนี้เป็นแบรนด์ที่ก้ำกึ่งในระดับแมส อย่างไรก็ตามบริษัทฯมั่นใจว่าแบรนด์บีเอสซีจะไม่เสีย จากการที่ทำสินค้าหลากหลายนี้
ทั้งนี้เพราะทางบริษัทฯมีการคุมทิศทาง ในเรื่องของการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ภายใต้แบรนด์"บีเอสซี" โดยจะคำนึงถึงความสอดคล้องของแบรนด์เป็นหลัก อย่างกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคบีเอสซีจะเน้นแนวเพื่อสุขภาพ ซึ่งในส่วนนี้ทางสหพัฒน์จะเป็นผู้ดูแลด้านการพัฒนาและการทำตลาด ขณะที่กลุ่มธุรกิจเสื้อผ้าชาย-หญิง เครื่องสำอาง ชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ บีเอสซีจะเป็นแบรนด์ที่มีไลฟ์สไตล์ ซึ่งในส่วนนี้ทางบริษัท ไอ.ซี.ซี.ฯ จะเป็นดูแลด้านการออกแบบ-การตลาด โดยภายใต้แบรนด์บีเอสซีปีนี้บริษัทฯทุ่มงบการตลาดประมาณ 100ล้านบาท
นายธรรมรัตน์ กล่าวว่า การพัฒนาแบรนด์บีเอสซีมาถึงในระดับหนึ่งแล้ว การรับรู้ตราสินค้าของผู้บริโภคดีมาก หลังจากที่บริษัทฯได้สร้างแบรนด์นี้เข้าสู่ปีที่ 6 และอนาคตอันใกล้บริษัทฯจะแตกไลน์ธุรกิจใหม่ๆเพิ่มเติม
พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนเปิดชอป "บีเอสซี" ในลักษณะมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ โดยมีสินค้าหลากหลายกลุ่มเข้าไปจำหน่ายภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องสำอาง เสื้อผ้าหญิง-ชาย กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค โดยการขยายรูปแบบชอปบีเอสซี ทางบริษัทฯถือว่ามีความพร้อมแล้วที่จะทำ แต่ขณะนี้คงจะต้องรอดูถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจและโอกาสทางการตลาดก่อน
"ก่อนหน้าที่บริษัทฯจะปั้นแบรนด์บีเอสซี เราคิดว่าจะเปิดชอปคล้ายกับมาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์เลย แต่พอมาพิจารณากันอีกครั้งมองว่าน่าจะสร้างแบรนด์ก่อน เพื่อให้บีเอสซีมีการเติบโตตามแต่ละตลาดที่ทำมากกว่า จากนั้นถึงจะรุกอย่างเต็มรูปแบบด้วยการเปิดชอป แต่ปัจจุบันด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว สินค้าในกลุ่มเสื้อผ้า-เครื่องสำอาง ฯลฯ ซึ่งจัดเป็นสินค้าแฟชั่นและฟุ่มเฟือย ผู้บริโภคจึงมีการชะลอการซื้อไปบ้างแต่ไม่มากนัก"
สำหรับผลประกอบการปีที่ผ่านมาของบีเอสซีราว 1,500-1,600 ล้านบาท คาดว่าปีนี้รายได้จะมีประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ กลุ่มเสื้อผ้าผู้หญิง เครื่องสำอาง ชุดชั้นใน 50% กลุ่มเสื้อผ้าผู้ชาย 25% และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 25%
อย่างไรก็ตามนอกจากบริษัทฯจะรุกตลาดภายในประเทศด้วยการขยายไลน์สินค้าไปสู่ตลาดใหม่แล้ว บีเอสซียังเน้นขยายตลาดต่างประเทศ ด้วยการรุกสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้บีเอสซีได้เป็นสปอนเซอร์เวทีประกวดนางงามของสหรัฐอเมริกาถึง 3 เวที เป็นต้น
ด้านนายบุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาของไอ.ซี.ซี.เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเติบโตเกิน 15% เนื่องจากสินค้าหลายแบรนด์ได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจ ส่งผลให้ผู้บริโภคที่ใช้แบรนด์เนม หันมาซื้อสินค้าของบริษัทมากขึ้น โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ยอดขายจะมีอัตราการเติบโตตามเป้าหมาย คือ 15% จากในปีที่ผ่านมาผลประกอบการ ไอ.ซี.ซี.มีประมาณ 11,500 ล้านบาท และมีกำไรกว่า 1,000 ล้านบาท
|
|
|
|
|