ผู้บริหารบริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยองเชื่อนักลงทุนไม่ทิ้งหุ้น เหตุกำหนดราคาต่ำ-เป็นราคาที่นักลงทุนให้ความสนใจ ระบุแนวโน้มธุรกิจเติบโตดีจากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวระดับสูง คาดปีนี้อยู่ที่ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้านนักวิเคราะห์ประเมินเหนือจอง เหตุกำหนดราคาหุ้นต่ำและอยู่ในอุตสาหกรรมที่เติบโตดี ให้ราคาเหมาะสมที่ 25-28 บาทต่อหุ้น
นายชายน้อย เผื่อนโกสุม กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน)หรือ RRC เปิดเผยว่า การเข้าซื้อขายหุ้นวันแรกในตลาดหลักทรัพย์วันนี้ เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากหุ้นของบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี โดยกำหนดราคาจองที่หุ้นละ 18 บาทต่อหุ้นถือว่าเป็นระดับที่ต่ำ ดังนั้นต้องการให้นักลงทุนมองในระยะยาวจากปัจจัยพื้นฐานที่ดีของบริษัท ซึ่งราคาหุ้นดังกล่าวเป็นราคาที่นักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจจองซื้อ หลังจากที่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกได้มีการปรับตัวลดลง
ดังนั้นเชื่อว่านักลงทุนสถาบันในและต่างประเทศจะยังไม่มีการขายหุ้นของบริษัทออกมา จากที่บริษัทมีแนวโน้มของธุรกิจที่ดีความต้องการน้ำมันที่สูง แต่กำลังการกลั่นน้ำมันที่ยังไม่เพียงพอทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปยังคงอยู่ในระดับที่สูงโดยคาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ประมาณ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้บริษัทคาดว่ารายได้ของบริษัทจะมีการเติบโตที่ดีจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากในปีนี้บริษัทได้มีการได้มีการกลั่นน้ำมัน 100% จากปีที่ผ่านมาที่บริษัทได้มีการหยุดซ่อมบำรุงจำนวน 3 เดือน และค่าการกลั่นน้ำมันก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูง
“สำหรับภาวะตลาดหุ้นในช่วงที่ราคาหุ้นของบริษัทเข้าซื้อขายก็อาจะมีผลกระทบกับบริษัทบ้าง แต่ก็หวังว่าจะไม่มีผลกระทบมากนัก เพราะ นักลงทุนสถาบันในและต่างประเทศที่ให้ความสนใจจองซื้อหุ้นของบริษัทนั้น เป็นช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกมีความผันผวน จึงเป็นราคาที่เหมาะสม และถือว่าราคาดังกล่าวเป็นราคาที่ถูกมาก ซึ่งจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีต่อนักลงทุน ดังนั้นเชื่อว่าจะไม่มีนักลงทุนขายหุ้นของบริษัทออกมา ”นายชายน้อยกล่าว
***นักวิเคราะห์ชี้ราคายืนเหนือจอง
นายกิตติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กิมเอ็ง (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน)หรือ KEST กล่าวว่า บริษัทคาดว่าหุ้นของRRCจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาจองได้ เนื่องจากราคาจองที่กำหนดไว้หุ้นละ 18 บาท มีค่าP/Eที่ 6.7 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่ต่ำ เมื่อเทียบกับกลุ่มพลังงานที่มีค่า P/Eที่ 8.9 เท่า และภาพรวมธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันยังมีอัตราการเติบโตที่ดี และมีความสามารถในการทำกำไรที่ดี จากที่ความต้องการน้ำมันยังคงสูงต่อเนื่อง และค่าการกลั่นน้ำมันอยู่ในระดับที่สูงเฉลี่ยประมาณ 7เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และคาดว่าภาวะตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
รวมถึงในปีที่ผ่านมาRRC ได้มีการปรับโครงสร้างทางการการเงินและธุรกิจทำให้บริษัทเริ่มมีการฟื้นตัว โดยบริษัทคาดว่าปีนี้ RRC จะมีรายได้จำนวน 176,699 ล้านบาทมีกำไรการดำเนินงานอยู่ที่ 7,509 ล้านบาทมีกำไรต่อหุ้นที่ 2.69 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทให้ราคาเหมาะสมที่ระดับ 27 บาทต่อหุ้น ซึ่งบริษัทแนะนำซื้อหุ้น RRC เนื่องจากระดับราคาไอพีโอมีโอกาสจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 50%
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า จากการที่ค่าการกลั่นยังคงอยู่ในระดับสูงและหุ้นที่อยู่ในกลุ่มพลังงานก็มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี และจากภาวะหุ้นในช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาหุ้นไอพีโอที่ 18 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นระดับที่ต่ำ จึงคาดว่าจะส่งผลดีต่อการเข้าซื้อขายหุ้นวันแรกของโรงกลั่นน้ำมันระยอง
ทั้งนี้บริษัทประเมินราคาเหมาะสมหุ้นRRCปีนี้ที่ 25 บาทต่อหุ้นซึ่งคาดว่าปีนี้ RRC จะมีผลกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 7,146 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2548 และมีกำไรต่อหุ้นที่ 2.39 บาทต่อหุ้นจากการที่บริษัทสามารถที่จะลดต้นทุนการดำเนินงานและต้นทุนทางด้านการเงินลดลง โดยคาดว่าผลการดำเนินงานปี2549 จะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ 0.75 บาทต่อหุ้น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (5 มิ.ย.)คาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเป็นไปตามตลาดหุ้นในภูมิภาคจากที่นักลงทุนคลายความกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่าว่านักลงทุนต่างประเทศจะเริ่มชะลอการขายหุ้นไทย และเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนในช่วงนี้
"การเข้าซื้อขายหุ้นของโรงกลั่นน้ำมันระยองจะไปเปรียบเทียบกับการเข้าจดทะเบียนของบริษัทไทยเบฟเวอเรจหรือเบียร์ช้างไม่ได้ เพราะเป็นคนละธุรกิจและคนละตลาดหุ้น และการที่หุ้นไทยเบฟเวอเรจเข้าจดทะเบียนนั้นเป็นช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลง แต่ขณะนี้ภาวะตลาดหุ้นเริ่มปรับตัวดีขึ้น ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะนำหุ้นทั้ง 2 บริษัทมาเปรียบเทียบกันได้ "นางสาววิริยากล่าว
นายชัยพัชร ธนวัฒโน นักวิเคราะห์อาวุโส บล.ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ธุรกิจด้านพลังงานเป็นธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตที่ดีจากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวในระดับสูงประกอบกับการกำหนดราคาหุ้นที่ 18 บาทต่อหุ้นถือว่าเป็นราคาที่ต่ำซึ่งมีโอกาสจะให้ผลตอบแทนสูงถึง 50% ก็สามารถจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าราคาจองได้ แต่หากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยก็จะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นของRRC ที่เข้าซื้อขายในวันแรก โดยบริษัทให้ราคาเหมาะสมที่ 27 บาทต่อหุ้น
สำหรับความน่าสนใจของหุ้นRRC อยู่ที่เป็นโรงกลั่นน้ำมันที่มีอายุการใช้งานที่น้อยและมีเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัยสามารถที่จะใช้วัตถุดิบจากทางประเทศตะวันออกกลางได้ ทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำ และจากการที่ปีนี้ได้มีการเดินเครื่องการกลั่นน้ำมันได้100% จากปีก่อนที่ได้มีการหยุดซ่อมบำรุง จึงคาดว่าาปีนี้ RRCจะมีรายได้รวม 116,000 ล้านบาทมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.7% จากปีที่ผ่านมา แต่ในด้านกำไรสุทธิจะลดลงจากปี 2548 เพราะในปีที่ผ่านมานั้นบริษัทมีกกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ UOBKH กล่าวว่า บริษัทคาดว่าการเข้าซื้อขายหุ้นวันแรกของ RRC จะสามารถสูงกว่าราคาจองได้ เนื่องจากการกำหนดราคาไอพีโอค่อนข้างต่ำ โดยมีค่าP/E 8.3 เท่าจากกลุ่มพลังงานที่มีค่าP/E 9.3 เท่า และจากธุรกิจพลังงานยังมีการเติบโตจากราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งคาดว่าปีนี้ราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยคาดว่าปีนี้RRC จะมีรายได้รวม 160,000 ล้านบาทมีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2548 ที่มี 13,000 ล้านบาทแต่ในด้านกำไรสุทธิจะลดลง เพราะในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ โดยบริษัทให้ราคาเหมาะสมที่ 28 บาทต่อหุ้น
ฝ่ายวิจัยของบล.เอเซียพลัส ได้ออกบทวิจัยในหุ้น RRC ซึ่งได้แนะนำให้ซื้อ โดยมีมูลค่าพื้นฐาน สิ้นปี 2549 ที่ 24.2 บาท โดยมูลค่าดังกล่าวยังไม่ได้รวมโครงการร่วมทุนกับ ATC ก่อสร้างโรงงานอะโรมาติกส์ จะเสร็จสิ้นปลายปีนี้ 2551 แต่ ณ ราคา IPO RRC จะมีค่า PER และ PBV ณสิ้นปี 2549 ที่ 6 เท่า และ 1.21 เท่า ตามลำดับ ยังต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ TOP และโรงกลั่นของคู่แข่งขันในเอเชีย
ทั้งนี้ RRC ถือเป็นโรงกลั่นที่ใหญ่อันดับ 5 ของประเทศด้วยกำลังการกลั่น 145,000 บาร์เรลต่อวัน แต่พบว่าประสิทธิภาพการผลิตเป็นรองเพียง TOP และยังมีประสิทธิภาพการลดสารปนเปื้อนในน้ำมันสูงสุด ประกอบกับการออกแบบโรงกลั่นที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตให้มีความยืดหยุ่นในการใช้น้ำมันดิบจากแหล่งที่มีราคาถูก แต่ยังคงสัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปใกล้สเคียงกับคู่แข่ง ทำให้ประสิทธิภาพการทำกำไรสูง
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัสได้คาดว่าการกลั่นในระยะเวลลา 2 ปี ยังทรงตัวในระดับสูง แม้เริ่มอ่อนตัวลงจากปีก่อนหน้า โดยประเมินค่าการกลั่นอ้างอิงที่ตลาดสวิงคโปร์ จะอยู่ที่บาร์เรลละ 6.5 เหรียญสหรัฐ ในปี 2549 และ 5.7 เหรียญสหรัฐ ในปี 2550 จะเห็นว่ายังสูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยเพียง 3 เหรียญสหรัฐ ในช่วง 5 ปีก่อนหน้า ค่าการกลั่นที่สูงจึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยประคองให้กำไรปี 2549 และ 2550 อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ได้คาดการณ์กำไรปกติปี 2549 จะเติบโตจากปี 2548 สูงถึง 31% ปัจจัยที่สำคัญคือ 1.ดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะลดลง 35% และ2.อัตราภาษีจากที่มีผลขาดทุนสะสม 1.8 พันล้านบาท แต่ในปี 2550 คาดว่ากำไรจะอ่อนต้วลงเพราะต้องกลับมาจ่ายภาษีอัตรา 25% และค่าการกลั่นที่ลดลง อย่างไรก็ตาม RRC จะกลับมามีกำไรอย่างก้าวกระโดดอีกครั้งเมื่อโครงการที่จะทำร่วมกับ ATC แล้วเสร็จในปี 2552
***ตลท.ไฟเขียวเทรดวันนี้
นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย ประธานศูนย์ระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อนุมัติรับหลักทรัพย์ของบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในกลุ่ม อุตสาหกรรมทรัพยากร หมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค โดยให้เริ่มซื้อขายได้ตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2549 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า RRC
บริษัทโรงกลั่นน้ำมันระยอง มีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 27,949.89 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 2,274.99 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 520 ล้านน มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ทั้งนี้ บริษัทได้เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 520 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของ
บริษัท ปตท. 877.50 ล้านหุ้น รวม 1,397.50 หุ้น แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือไอพีโอ (Initial Public Offering) โดยในระหว่าง
วันที่ 18-19 พฤษภาคม 2549 เป็นการขายให้แก่บุคคลทั่วไป และวันที่ 26 , 29-30 พ.ค. 2549 เป็นการขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน ในราคาเท่ากันหุ้นละ 18 บาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ฟินันซ่า จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
นอกจากนี้ RRC ได้มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (กรีนชู ออปชั่น) จำนวน 113.29 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.11% ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพของระดับราคาหุ้นหลังเข้าซื้อขาย โดยRRC จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปลงทุนในโครงการ Reforming และ Upgrade Complex ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนกับบมจ. อะโรเมติกส์ (ATC) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้ ราคาหุ้นไอพีโอของ RRC คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Price/Earnings หรือ P/E Ratio) เท่ากับ 7.66 เท่า ซึ่งพิจารณาจากผลการดำเนินงานปี 2548 โดยไม่นับรวมกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้
RRC ประกอบธุรกิจเป็นผู้กลั่นน้ำมันและจัดหาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปชั้นนำรายหนึ่งของประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทยังมีโรงกลั่นน้ำมันแบบ Complex ที่ทันสมัยที่สุดและมีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (Energy Efficient) ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้หลักจากการกลั่นปิโตรเลียม โดยสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูปคุณภาพสูงหลายประเภท รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปชนิดเบา ประกอบด้วย ก๊าซปิโตรเลียมเหลว แนฟทาชนิดเบา โพรไพลีน รีฟอร์เมต และน้ำมันเบนซิน น้ำมันสำเร็จรูปกึ่งหนักกึ่งเบา ประกอบด้วย น้ำมันอากาศยาน และน้ำมันดีเซล นอกจากนี้ยังมีน้ำมันสำเร็จรูปชนิดหนัก ได้แก่ น้ำมันเตา และยางมะตอย
หลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ RRC คือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วน 49.99% ของทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว
***ก้องเกียรติชี้ต่างชาติขายลดลง
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวถึงภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาว่า ความกังวลเกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐส่งผลทำให้นักลงทุนต่างประเทศมีเทขายหลักทรัพย์มาอย่างต่อเนื่องในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่เริ่มสัญญาณว่าการเทขายจะเริ่มหยุดเนื่องจากหากพิจารณาการปรับตัวของดัชนีเมื่อปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 700 จุดจะมีแรกรับซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้แนวโน้มการลงทุนในปีนี้กระแสการเข้าและไหลออกของนักลงทุนต่างชาติจะรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนหน้าใหม่จะต้องศึกษาและหาข้อมูลให้พร้อมก่อนที่จะเข้าลงทุน แต่ในเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทยเพียงแห่งเดียวแต่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่มีขนาดเล็ก
นอกจากการเข้ามาเก็งกำไรในตลาดหุ้น นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาเก็งกำไรในตลาดทองคำ น้ำมัน รวมถึงเหล็กส่งผลให้ราคาสินค้าในกลุ่มดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาราคาค่อนข้างปรับขึ้นลงรุนแรง
"การเข้ามาปั่นหุ้นหรือเก็งกำไรของนักลงทุนต่างชาติ มักจะเลือกในหุ้นที่มีเหตุผลประกอบโดยเสมอ แต่หากถึงช่วงเวลาที่จะขายทำกำไรก็พร้อมจะขายแม้ว่าจะเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีก็ตาม"นายก้องเกียรติกล่าว
***จัดหุ้นไทยแบ่ง4กลุ่ม
ขณะนี้ตลาดหุ้นไทยถูกจัดกลุ่มในการลงทุนออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่มีกำไรเติบโตเกิน 20% ซึ่งน่าสนใจที่จะเข้ามาลงทุนมากที่สุด เช่น
กลุ่มเหมืองแร่ ท่องเที่ยว เครื่องใช้ไฟฟ้า ค่าส่งค่าปลีก และสื่อสิ่งพิมพ์ 2.กลุ่มที่มีกำไรเติบโต 10-20% เช่น กลุ่มรถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง บริษัทหลักทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์ 3.การเติบโตน้อยมาก เช่น อาหาร ประกันภัย พลังงาน และ4.กลุ่มที่มีผลประกอบการติดลบ เช่น ธนาคาร เกษตร ปิโตรเคมี และขนส่ง
|