Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน2 มิถุนายน 2549
ตลท.ชี้Q1บจ.ลงทุนเพิ่ม8.1หมื่นล. มุ่งเน้นสินทรัพย์ถาวรเหตุความเสี่ยงต่ำ             
 


   
www resources

โฮมเพจ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

   
search resources

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
Stock Exchange
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ




ตลท.เปิดเผยข้อมูลไตรมาส1/49 บริษัทจดทะเบียนลงทุนเพิ่ม 8.1 หมื่นล้านหรือเพิ่ม 30% เน้นลงทุนสินทรัพย์ถาวรเป็นหลักเหตุความเสี่ยงต่ำ กลุ่มพลังงานนำโด่ง 3.6 หมื่นล้าน เผยอัตราส่วนหนี้ต่อทุนยังต่ำเพียง 1.2 เท่า ขณะที่ความสามารถในการชำระดอกเบี้ยยังในระดับสูงถึง 9.1 เท่า

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยรายงาน SET Note Corporate Update ว่า ภาพรวมการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส1ในปี 2549 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันในปีที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวประมาณ 30% โดประมาณ 89% เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 81,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนจากกลุ่มทรัพยากร

โดยมูลค่าการลงทุนสูงถึง 36,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 86% ขณะที่กลุ่มบริการเป็นเพียงอุตสาหกรรมเดียวที่ปรับตัวลดลง 40% หรือ 11,200 ล้านบาท

ทั้งนี้กลุ่มบริการที่ลงทุนในสินทรัพย์ถาวรลดลงในเกือบทุกหมวด แต่หมวดการท่องเที่ยวที่มีการลงทุนเพิ่มสวนทางกับกลุ่ม เนื่องจากลงทุนเพิ่มกว่าเท่าตัวหรือ 117% โดยหมวดที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรลดลงมากที่สุดคือ หมวดบริการเฉพาะกิจ และหมวดขนส่งและโลจิสติกส์ที่ลดลงกว่า 51% และ 63% ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนจากข้อมูลพบว่า แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดรับจากกิจกรรมการดำเนินงานของบริษัทเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทต่างๆเลือกที่จะลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยจะเน้นให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ถาวรเป็นส่วนมาก โดยในไตรมาส 1ปี 2549 บริษัทจดทะเบียนมีกระแสเงินสดรับจากการดำเนินกิจกรรมกว่า 135,000 ล้านบาท โดยมีการนำเงินในส่วนนี้ไปลงทุนกว่า 87,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม กระแสเงินสดจากกิจกรรมทางการเงินนั้นส่วนใหญ่เป็นกระแสเงินสดรับ-จ่ายจากธุรกรรมการออกหุ้นกู้และตราสารหนี้ ในขณะที่ธุรกรรมการกู้ยืมหรือชำระคืนหนี้แก่ธนาคารมีไม่มากนัก

"เรื่องความเสี่ยงของการลงทุนในส่วนของบริษัทจดทะเบียนในภาวะที่เศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงในการจัดการ เพราะเป็นการใช้เงินจากกระแสเงินสดของบริษัทเป็นส่วนใหญ่"นายเศรษฐวุฒิกล่าว

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า กระแสเงินสดจ่ายของบริษัทส่วนใหญ่มาจากการชำระคืนหุ้นกู้และตราสารหนี้ระยะยาวกว่า 44,000 ล้านบาทในขณะที่มีกระแสเงินรับจากธุรกรรมเดียวกันประมาณ 24,000 ล้านบาท

ทั้งนี้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างเป็นกลุ่มที่มีธุรกรรมการออกหุ้นกู้และตราสารหนี้ระยะยาวสูงกว่า 23,000 ล้านบาทและเป็นกลุ่มที่ได้ชำระคืนหุ้นกู้ 27,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดเงินกู้สุทธิจากสถาบันการเงินมีเพียง 9,000 ล้านบาท ซึ่งกว่าครึ่งเป็นการกู้โดยกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารกว่า 4,000 ล้านบาท

ในส่วนของเรื่องการระดมทุนในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาพบว่ามีการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ทั้งในตลาดแรกและตลาดรองที่ 17,400 ล้านบาทลดลงจากไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมาประมาณ 15% โดยแบ่งเป็นการระดมทุนในรูปแบบการจำหน่ายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO ทั้งหมด 2,700 ล้านบาท และอีก 14,700 ล้านบาทเป็นการระดมทุนจากบริษัทจดทะเบียนเดิม โดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง มียอดการระดมทุนมากที่สุดถึง 8,600 ล้านบาท หรือประมาณ 50% รองลงมาคือกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีมูลค่าการระดมทุน 4,900 ล้านบาท หรือประมาณ 30%

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องประสิทธิภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่รวมกลุ่มการเงินและ REHABCO ลดลงเล็กน้อยโดยอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) และประสิทธิภาพการใช้ทุน (ROCE) อยู่ ณ ระดับ 19.4% และ 18.3% อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำ โดยมีอัตราส่วนหนี้ต่อทุน (debt to equity ratio) ที่ 1.2 เท่า และความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (interest coverage ratio ) ยังอยู่ในระดับที่ดีคือ 9.1 เท่า

“การที่บริษัทลดภาระหนี้สินมาโดยตลอดนั้น ทำให้ความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยไม่สูงนัก ตัวอย่างเช่น หากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 2% แล้ว ความสามารถในการชำระดอกเบี้ยของบริษัทก็จะอยู่ประมาณ 7.2 เท่า ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี” ผู้ช่วยผู้จัดการกล่าวเสริม

ในส่วนของภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาซึ่งนักลงทุนต่างชาติมีการขายทำกำไรออกมาเป็นจำนวนมาก นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นผลการความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อในประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้มีการเทขายเงินลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยง ในขณะที่ตลาดสหรัฐกับไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวมากนัก เห็นได้จากตัวเลขผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรที่ควรจะปรับตัวลดลง แต่ยังคงอยู่ในระดับเดิม ขณะที่ราคาทองคำที่ควรจะเพิ่มขึ้นจากการเข้ามาเก็งกำไรแต่ในช่วงที่ผ่านมากลับไม่ได้มีสัญญาณการเข้ามาเก็งกำไรจนทำให้ราคาปรับขึ้นอย่างผิดปกติ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us