|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ติดตามภาวะการซื้อขายหุ้นอย่างใกล้ชิด "ภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ"ชี้ไม่น่ากังวล มองการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างประเทศเป็นตัวกำหนดทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค ยังเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทยยังมีศักยภาพที่ดี ราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำ แม้จะมีปัจจัยลบทางด้านเมือง แต่ก็มีการรับรู้ไปแล้ว ขณะที่ต่างชาติเริ่มหันกลับมาซื้อหุ้นสุทธิ 20.12 ล้านบาท
ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (1 มิ.ย.)ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบจาก เหตุไร้ปัจจัยบวกกระตุ้น โดยดัชนีปิดตลาดที่ 710.30 จุด เพิ่มขึ้น 0.87 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.12% โดยระหว่างวันปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ระดับ 712.58 จุดและลดลงต่ำสุดที่ระดับ 707.72จุด มูลค่าการซื้อขายตลอดทั้งวันยังเบาบาง 7,400.64 ล้านบาท
ทั้งนี้การซื้อขายนักลงทุนรายกลุ่มปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 20.12 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 237.34 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 257.45 ล้านบาท
นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน)ในฐานะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กล่าวว่า การที่ภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องนั้น ทางคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ก็ได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และมีการหารือร่วมกันในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นผู้ให้นโยบายในภาพกว้าง ดังนั้นจึงพยายามที่จะผลักดันให้เป็นไปตามนโยบายที่กำหนดไว้ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับการขยายฐานนักลงทุนและการเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)ได้นำบริษัทจดทะเบียนของไทยไปแนะนำข้อมูลหรือโรดโชว์ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นการร่วมกันในกลุ่มดีบีเอส พบว่านักลงทุนต่างประเทศยังมองว่าประเทศไทยยังมีศักยภาพที่สามารถดึงดูดการลงทุนของต่างประเทศได้ เพราะตลาดหุ้นไทยมีค่าพี/อี เรโชที่อยู่ในระดับที่ไม่สูง ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนก็ยังดีอยู่ จะมีผลกระทบบ้างก็จากปัจจัยทางการเมือง และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอการเติบโตลง แต่พื้นฐานจริงๆ ของไทยยังมีศักยภาพที่เติบโตได้ ดังนั้นจึงมองว่าการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้น เพราะแรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศจะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น
แม้ว่าที่ผ่านมาดัชนีหุ้นจะปรับตัวลดลงโดยตลอด แต่เกิดจากสภาพคล่องของโลกที่มีการหมุนเวียนอย่างรวดเร็วมากกว่า ทำให้มีการไหลออกของเงินลงทุนบ้างหลังจากที่เข้ามาโดยตลอดช่วงปีกว่าที่ผ่านมา และในระยะนี้จะพบว่ามีแรงขายในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ออกมาอย่างหนัก เพราะเป็นการย้ายกลุ่มการขายของนักลงทุนต่างประเทศ หลังจากที่ได้เทขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาในช่วงก่อนหน้านี้
สภาพคล่องของโลกเป็นเรื่องยากที่จะประเมินเพราะมีปัจจัยหลายอย่างประกอบอยู่ และโบรกเกอร์แต่ละแห่งก็จะมีมองคนละทิศ ขณะเดียวกันจะให้ความสำคัญกับเงินเฟ้อ หรือเศรษฐกิจสหรัฐ ดังนั้นจำเป็นต้องดูทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐประกอบด้วย
"ปัจจัยทางด้านการเมืองยอมรับว่าอาจจะมีผลกระทบ แต่ไม่ใช่ปัจจัยใหม่ ซึ่งก็มีการรับรู้ไปแล้ว จริงๆ แล้วภาวะตลาดหุ้นที่ได้รับผลกระทบมาจากการไหลของเงินทุนจากต่างประเทศ เพราะในช่วงปีกว่าที่ผ่านมาได้มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อมีปัจจัยมากระทบเงินทุนก็ไหลออกไปบ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติ โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้มีความกลัวกรณีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ เพราะถือเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเริ่มขายออกขายออกมาบ้างหลังจากที่ซื้อมาโดยตลอด เพราะจะเห็นได้ว่าดัชนีหุ้นของไทยยังอยู่ในระดับนี้ได้ ถือว่าเป็นการปรับฐานที่สร้างความแข็งแกร่งที่ดีให้กับตลาด"นางภัทธีรากล่าว
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ UOBKH เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยมีการแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นการลงทุน และนักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องการทีธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และปัจจัยทางการเมืองของไทยก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีการเลือกตั้งวันที่ 15 ตุลาคมนี้หรือไม่
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีฯจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆและมีโอกาสที่จะมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากหากสหรัฐอเมริกามีการประกาศน้ำมันสำรองมีอัตราที่สูงก็จะทำให้ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง ส่งผลให้นักลงทุนมีการขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมา และจากการที่ยังไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย RP14 วัน จึงทำให้นักลงทุนมีการขายหุ้นกลุ่มธนาคารออกมา โดยมองแนวรับที่ระดับ 700 จุด แนวต้านที่ระดับ 712-714 จุด
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด เปิดเผยถึงภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยมีการแกว่งตัวในกรอบ 707-712 จุด ซึ่งมีแรงซื้อหุ้นเข้ามาในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร โดยมีสัญญาณที่ดีว่าหุ้นขนาดใหญ่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นลักษณะสอดคล้องกับที่นักลงทุนต่างประเทศไปซื้อสุทธิตลาดหุ้นเกาหลี และเกาหลีใต้
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่องจาก คาดว่าจะนักลงทุนต่างประเทศจะกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทย โดยมองแนวรับที่ระดับ 705-707 จุด แนวต้านที่ระดับ 715-720 จุด
นายอนุพันธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์บีฟิท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาวะดัชนีตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ มูลค่าการซื้อขายต่ำกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระตุ้นการลงทุน ซึ่งปัจจัยที่กดดันตลาดยังเป็นปัจจัยเดิมทุกประการคือตัวเลขเงินเฟ้อที่ประกาศออกมาในเดือนพฤษภาคมที่สูงเกินคาด
รวมถึงในสัปดาห์หน้าอัตราดอกเบี้ยอาจจะมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันนักลงทุนยังรอดูทิศทางราคาน้ำมันของกลุ่มโอเปคและตัวเลขน้ำมันสำรองของสหรัฐที่จะมีการประกาศออกมาในคืนวันศุกร์ จึงมีผลต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยคาว่าดัชนีตลาดหุ้นวันนี้ต้องจับตาดูตลาดหุ้นต่างประเทศต่างประเทศ โดยมองแนวรับที่ 700 จุด และแนวต้านที่ 720 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวถึ งภาวะดัชนีตลาดวานนี้ว่า หุ้นกลุ่มบิ๊กแคปใหญ่ยังทรงตัว โดยนักลงทุนเริ่มหันกลับเข้ามาเก็งกำไรหุ้นที่ใกล้จะหมดระยะเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์ห้ามซื้อขายลักษณะห้ามเน็ตเซ็ทเทิลเม้นท์ และมาร์จิ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าตลาดอาจจะยังไม่ฟื้นตัว สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นวันนี้คาดว่าต้องติดตามการประชุมกลุ่มโอเปค และการประชุมการออกมาตรการเศรษฐกิจในระยะสั้นนี้ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีที่ 700-715 จุด
|
|
|
|
|