Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน2 มิถุนายน 2549
สหพัฒน์ยอมรับเศรษฐกิจดิ่งเหว             
 


   
search resources

บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา
Economics




ประธานเครือสหพัฒน์ยอมรับเศรษฐกิจไทยแย่กว่าที่คิด ระบุการเมืองไทยทำเศรษฐกิจดิ่งลงเหว -กำลังซื้อผู้บริโภคหด นักลงทุนต่างประเทศเบนเข็มลงทุนประเทศอื่นแทน ขณะที่พาร์ทเนอร์ของเครือสหพัฒน์ชะลอการลงทุน ล่าสุดเทงบ 1,400 ล้านบาท ปรับตัวลดการพึ่งพิงน้ำมัน ผุดโรงงานไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2 แห่ง หวังช่วยลดต้นทุนผลิต 50% แนะไทยเร่งผุดโรงงานไฟฟ้าปรมาณูทางรอดเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันการค้าโลก สิ้นปีตั้งเป้ากวาดรายได้มากกว่า 1.3 แสนล้านบาท

นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ในประเทศไทย เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า แย่กว่าที่คิดไว้ ทั้งนี้เป็นคำพูดครั้งแรกในรอบหลายปีที่ประธานเครือสหพัฒน์ออกมาพูดถึงภาพรวมเศรษฐกิจในลักษณะอย่างนี้ หลังจากก่อนหน้านี้ประธานเครือสหพัฒน์จะพูดหรือคิดในเชิงบวกตลอด

อย่างไรก็ตาม นายบุณยสิทธิ์ยังได้กล่าวถึง ปัจจัยที่ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยชะลอตัว มาจากปัญหาทางด้านการเมืองภายในประเทศมากกว่าปัจจัยด้านราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเปรียบเทียบว่าเหมือนกำลังขับรถดิ่งลงเหว อีกทั้งยังเป็นการขับรถที่ไม่มีคนขับหรือเปรียบเทียบว่าไม่มีผู้นำมาบริหารประเทศ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาด้านการส่งออก ซึ่งขณะนี้การส่งออกของเครือสหพัฒน์ก็ขาดทุน

พาร์ทเนอร์ชะลอลงทุน-กำลังซื้อผู้บริโภคหด

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ต้องยอมรับเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาลง ส่งผลให้นักลงทุนจากต่างประเทศเบนเข็มไปลงทุนประเทศอื่นๆแทน ไม่ว่าจะเป็น จีน เวียดนาม อินเดีย ด้านพาร์ทเนอร์ของเครือสหพัฒน์จากประเทศญี่ปุ่นซึ่งก่อนหน้านี้คาดว่าจะลงทุนในไทยเป็นหลัก 100 ล้านบาท ก็ชะลอการลงทุนลง ซึ่งปีนี้ในงาน Saha Group Export & Trade Exhibition ครั้งที่ 10 มีการเซ็นสัญญาน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนด้านกำลังการซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคมนี้ วัดจากรายได้ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ของเครือสหพัฒน์มีอัตราการเติบโตลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก โดยมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นดัชนีชี้วัด ซึ่งพบว่าขณะนี้ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีอัตราการเติบโตสูง

"เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดเดาได้ยากว่าจะเป็นไปในทิศทางใด ตอนนี้ต้องติดตามดูกันเดือนต่อเดือน แต่ประเทศของเราขณะนี้ยังไม่เข้าสู่ยุคฟองสบู่แตก แต่ถ้าแตกเมื่อไรก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่าปี 2540 เนื่องจากในช่วงนั้นฟองสบู่แตก ส่วนใหญ่จะกระทบกับกลุ่มผู้ประกอบการ แต่ถ้าในยุคนี้ฟองสบู่แตกรากหญ้าจะได้รับผลกระทบรุนแรงทันที โดยผมมองว่าถ้าเราสามารถแก้ปัญหาด้านการเมืองได้ทุกอย่างก็จะคลีคลายไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนเรื่องการเลือกตั้งสส.ในช่วงเดือนตุลาคม ผมมองว่าช้าเกินไป"

ผุดรง.ไฟฟ้าปรมาณูเพิ่มขีดความสามารถ

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะด้านการใช้พลังงานทดแทน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านค้า เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น การใช้พลังงานทดแทนจะทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าลดลง อย่างโรงงานไฟฟ้าปรมานู ถือว่าเป็นโมเดลที่น่าสนใจ เพราะเป็นมีความสะอาด ปลอดภัย และประการสำคัญคือ ถูก แต่ปัญหาคือขณะนี้ไม่มีใครหรือภาครัฐคิดที่จะทำ เมื่อเทียบกับประเทศใกล้เคียง อย่าง ประเทศเวียดนาม ภาครัฐมีแผนที่จะสร้างโรงงานไฟฟ้าปรมาณู 2 แห่ง ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่าง ญี่ปุ่น เยอรมัน ฝรั่งเศส ก็มีโรงงานไฟฟ้าปรมานู

ถ้าประเทศไทยไม่สร้างโรงงานไฟฟ้าปรมาณู จะไม่สามารถแข่งขันกับทางการค้าได้ ซึ่งในขณะนี้เครือสหพัฒน์อยู่ระหว่างการศึกษาการสร้างโรงงานไฟฟ้าปรมานู โดยเฉพาะการศึกษาโมเดลในประเทศญี่ปุ่น จีน อเมริกา ฝรั่งเศส ซึ่งคาดว่าหากมีการลงทุนสร้างจริงจะใช้งบหลักหมื่นล้านขึ้นไป และต้องใช้เวลาการสร้างอย่างน้อย 10 ปี ซึ่งขณะนี้เรามีความพร้อมที่จะลงทุน แต่คงจะต้องรอความพร้อมทั้งทางด้านกฎหมาย ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายด้านความปลอดภัยการสร้างโรงงานไฟฟ้าปรมานูรองรับ นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลาสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับคนภายในประเทศ

ทุ่ม1.4พันล.ผุดโรงงานไฟฟ้าลดต้นทุน

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่า สเตปการสร้างโรงงานไฟฟ้าเครือสหพัฒน์วางไว้ คือ เริ่มจากการใช้แก๊สธรรมชาติเป็นโมเดลปัจจุบันที่เครือสหพัฒน์ใช่อยู่ ต่อมาจะพัฒนาเป็นการใช้พลังงานทดแทน และต่อไปคือการผลิตไฟฟ้าด้วยปรมานู ดังนั้นการลงทุนในปีนี้ซึ่งอยู่ในสเตปที่สอง โดยบริษัท สหโคเจน ในเครือสหพัฒน์ได้ทุ่มงบ 1,200 -1,400 ล้านบาท สร้างโรงงานไฟฟ้าใช้พลังงานทดแทน 2 แห่ง ที่ กบินทร์บุรี และจ.ลำพูน จากก่อนหน้านี้บริษัทมีโรงงานไฟฟ้าที่ศรีราชา 1 แห่ง ทั้งนี้การสร้างโรงงานทั้ง 2 แห่งนี้จะเน้นใช้พลังงานทดแทน เช่น ชานอ้อย ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อลดการพึ่งพิงน้ำมัน ซึ่งส่งผลให้เครือสหพัฒน์สามารถประหยัดต้นทุนการผลิตได้เกือบ 50% นอกจากนี้บริษัทยังเน้นลดต้นทุนการผลิตด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การบริหารโลจิสติคส์ แพกเกจจิ้ง และวัตถุดิบ

สำหรับนโยบายเครือสหพัฒน์ในขณะนี้ มีแผนที่จะตรึงราคาสินค้าไว้ให้นานที่สุด บริษัทยอมที่จะมีกำไรลดน้อยลงเพื่อที่จะช่วยลดค่าครองชีพของคนไทยในภาวะที่ราคาน้ำมันแพง โดยบริษัทหันมาพัฒนาสินค้าให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด ซึ่งการพัฒนาดังกล่าวจะต้องเป็นการพัฒนาแบบมีนัยสำคัญ นั้นคือพัฒนาแล้วจะต้องมีความเจริญก้าวหน้า โดยเฉพาะการพัฒนาด้านบุคลากร ทั้งในด้านของจิตใจ และหลักการคิดในการทำงาน สำหรับผลประกอบการสิ้นปีนี้เครือสหพัฒน์ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีรายได้มากกว่า 1.3 แสนล้านบาท จากในปีที่ผ่านมามีรายได้ 1.3 แสนล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us