Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน1 มิถุนายน 2549
ดัชนีหลุด700จุดระหว่างวันโบรกชี้วันนี้ลุ้นรีบาวน์หุ้นใหญ่ส่งสัญญาณบวก             
 


   
search resources

Stock Exchange




ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้(31พ.ค.)ตลอดทั้งวันดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวลดลงหลุดแนวต้านสำคัญที่ 700 จุดก่อนที่มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ทำให้ดัชนีดีดตัวกลับปิดเหนือ 700 จุดได้โดยปิดที่ 709.43 จุด ลดลง 4.53 จุด หรือ 0.63% โดยจุดต่ำสุดระหว่างวันอยู่ที่ 698.30 จุด ลดลง 15.66 จุด หรือ 2.19% ขณะที่จุดสูงสุดอยู่ที่ 710.36 จุด มูลค่าการซื้อขาย 14,025.33 ล้านบาท

การซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่ม ปรากฏว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,255.50 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 339.04 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 916.46 ล้านบาท

นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาค และนักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมาต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีมาทดสอบที่ 700 จุด เป็นครั้งที่ 2 แต่ระหว่างวันก็ปรับลดลงต่ำสุดถึง 698.30 จุด แต่ก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากมีสัญญาณที่ดีว่าหุ้นขนาดใหญ่ เช่น ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(1มิ.ย.) คาดว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ จากที่มีสัญญาณว่าหุ้นขนาดใหญ่ 10 บริษัทเช่นSCC ,PTT ,PTTEP,TOP,ADVANC,และหุ้น 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งมาจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างประเทศ หากดัชนีต่ำกว่า 700 จุด พี/อี เรโชที่ระดับ 8.5 เท่า แนะให้นักลงทุนเข้าลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และหากค่าเงินบาทมีการแข็งค่าที่ 38บาทต่อเหรียญสหรัฐ ก็จะเป็นสัญญาณว่าเม็ดเงินต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมองแนวรับที่ระดับ 695-700 จุด แนวต้านที่ระดับ 715 จุด

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)หรือ CNS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนไทยมีความกังวลจากแรงขายของนักลงต่างชาติในช่วงที่ผ่านมา และความคลุมเครือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ รวมทั้งการที่ประเทศจีนมีนโยบายให้เศรษฐกิจชะลอ เพื่อลดความร้อนแรงจากการลงทุนโดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย์

ทั้งนี้ ทำให้สะท้อนเศรษฐกิจในเอเชียและเศรษฐกิจโลกปรับตัวลง และจะส่งผลกระทบต่อหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนอาจต้องปรับผลประกอบการลง ส่วนหุ้นที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ อาจเป็นกลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มโรงแรม มองว่าช่วงนี้จึงเป็นการปรับพอร์ตการลงทุน

นอกจากนี้ จากการที่ระหว่างวันดัชนีปรับตัวหลุดจากที่ระดับ 700 จุด นั้นจะส่งผลให้มีผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่ดัชนีฯจะมีการปรับตัวลดลงอีก เนื่องจากว่าไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามากระทบตลาด รวมถึงนักลงทุนยังรอการประชุมของเฟด เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มองว่าอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเฟด

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะปรับตัวลดต่ำกว่า 700 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุน แต่อาจจะมีการปรับตัวขึ้นทางเทคนิค แนะนำการลงทุน ให้ถือเงินสด หรือ Short sale โดยประเมินว่าแนวรับที่ระดับ 692 จุด แนวต้าน 708 จุด

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทีเอสอีซี จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ปรับตัวลดลงตามตลาดภูมิภาคตั้งแต่เช้า10กว่าจุด และดีดตัวขึ้นตามเทคนิคในช่วงบ่าย เนื่องจากตัวเลขภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาไม่ดี ทั้งดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่ำสุดในรอบ3เดือน ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมาก ส่งผลให้ความกังวลของนักลงทุนต่อเฟดที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยตัวสูงขึ้น และค่าเงิรดอลลาร์ที่ปรับลดลงในรอบ 6เดือน

ทั้งนี้ศาลฎีกาซึ่งตัดสินไม่แต่งตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) อีก2คนตามที่ กกต.ชุดเดิมยื่นเรื่อง ทำให้ภาวะทางการเมืองไม่ลงตัว และหาก3 ศาลยังไม่สามารถจัดการภาวะการเมืองให้นิ่งได้ ให้สามารถเลือกตั้งในวันที่15ตุลาคมนี้ได้ ก็อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจในระยะยาว เนื่องจากเศรษฐกิจจะขาดรัฐบาลมาดูแล

นอกจากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศลดลงมา รวมทั้งธปท.อาจจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ก็จะมีผลต่อดัชนีตลาดหุ้นด้วย

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการขายสุทธิออกมาบ้างแล้ว โดยปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิอยู่ที่ 7.9 หมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้นปี ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนระยะยาว เพราะนักลงทุนต่างชาติที่ลงทุนระยะสั้นขายออกมามากแล้ว

สำหรับดัชนีตลาดหุ้นวันนี้อาจจะปรับตัวลดลงต่ออีก และอาจมีแรงเก็งกำไรสั้นๆกลับเข้ามา โดยหากดัชนีตลาดหุ้นปรับลงต่ำกว่า700จุด อาจจะมีทยอยซื้อจากนักลงทุนระยะยาว ซึ่งก็จะทำให้มูลค่าการซื้อขายรวมเพิ่มขึ้นด้วย โดยตลาดมีระดับแนวรับอยู่ที่ 684จุด และมีระดับแนวต้านอยู่ที่710จุด

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดฯแกว่งตัวในทิศทางเดียวกับดัชนีฯ ในตลาดหุ้นภูมิภาค รวมทั้งนักลงทุนมีความกังวลเรื่องของอัตราเงินเฟ้อจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นโดยในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะประชุมเพื่อหารือในเรื่องอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ภาวะในประเทศยังขาดปัจจัยใหม่ๆที่มาสนับสนุนตลาดหุ้น

สำหรับกลุ่มที่มีการขายออกมามาก ได้แก่ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมืองที่ขณะนี้ยังไม่มีข้อยุติ

อย่างไรก็ตาม ทิศทางของตลาดหุ้นวันนี้ นักลงทุนยังรอดูความชัดเจนจากการประชุมของผู้ค้าน้ำมันกลุ่มโอเปก โดยการประชุมครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน ซึ่งประเมินแนวต้าน 710 จุด และแนวรับอยู่ที่ 695 จุด

ทีเเอสเอฟซีชี้บังคับขายเพียง1รายเท่านั้น

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์หรือ TSFC เปิดเผยว่า แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลง แต่ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนที่ถูกบังคับขายเพียงแค่ 1 รายเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นประมาณช่วงสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีมูลค่าในระดับหมื่นบาทเท่านั้น ถือว่าน้อยมาก และการปรับตัวลดลงของดัชนีในครั้งนี้ถือว่าไม่น่ากังวลแต่อย่างใด เพราะเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมาถือว่าปรับตัวลดลงมาหนักกว่านี้

ทั้งนี้สาเหตุที่มีการบังคับขายไม่มากนัก เนื่องจากในช่วงต้นปีผู้ที่เข้ามาซื้อหุ้นส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างประเทศ และการเทขายในขณะนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นนักลงทุนต่างประเทศ ดังนั้นนักลงทุนรายย่อยจึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก

หุ้นเก็งกำไรรูดถ้วนหน้า

ด้านความเคลื่อนไหวหุ้นกลุ่มเก็งกำไรปรับตัวลดลงกันถ้วนหน้า โดยหุ้นบมจ.ไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ หรือ MME ปรับตัวลดลงติดฟลอร์โดยปิดที่ 12.40 บาท ลดลง 5.20 บาท หรือ 29.55% มูลค่าการซื้อขาย 30.67 ล้านบาท ขณะที่หุ้น PICNI ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเมื่อวานหลังจากตลาดหลักทรัพย์ปลดเครื่องหมาย SP โดยราคาปิดที่ 0.43 บาท ลดลง 0.15 บาท หรือ 25.86% มูลค่าการซื้อขาย 85.49 ล้านบาท ด้านหุ้น APURE ราคาปิดที่ 2.62 บาท ลดลง 0.38 บาท หรือ 12.67% มูลค่าการซื้อขาย 10.27 ล้านบาท

ก.ล.ต.ปฎิเสธค้างเรื่องพิจารณาไทยเบฟฯ

รายงานข่าจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. แจ้งว่าตามที่ปรากฏข่าวในสื่อต่าง ๆ ว่า ก.ล.ต. ยังมิได้หยิบยกคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ขึ้นมาพิจารณานั้น สำนักงานก.ล.ต. ขอเรียนว่า ปัจจุบัน ก.ล.ต. มิได้มีคำขอของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ที่ยังค้างการพิจารณาอยู่

ทั้งนี้ล่าสุดบริษัทฯ ได้มีหนังสือลงวันที่ 16 มกราคม 2549 แจ้งให้ ก.ล.ต. ชะลอการพิจารณาคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นต่อประชาชนภายในประเทศออกไปก่อน จนกว่าจะมีการผ่านร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. ....... ของกระทรวงสาธารณสุขแล้ว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us