|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ทหารไทยหมดทางดิ้นล้างขาดทุน หันเร่งหากำไรโปะ คาดใช้เวลาอีก 3-4 ปี เผยเน้นหารายได้จากค่าธรรมเนียมเพิ่มผ่านช่องทางสาขาของธนาคาร ยอมรับโดนผลกระทบจากเศรษฐกิจรอกลางปีทบทวนเป้าผลการดำเนินงาน แต่มั่นใจกองทัพและผู้ถือหุ้นเข้าใจ
นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการ ธนาคารทหารไทยจำกัด (มหาชน)(TMB) เปิดเผยถึงแนวทางการล้างขาดทุนสะสมของธนาคารที่มีกว่า 46,000 ล้านนั้น ธนาคารมีแผนจะใช้กำไรในการล้างขาดทุนสะสม โดยคาดว่าจะใช้เวลา 3–4 ปี คาดว่าแต่ละปีจะสามารถทำกำไรได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการทำกำไรไตรมาสละ 2,500 ล้านบาท ซึ่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจในปัจจุปันนี้จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในการทำกำไรให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยแนวทางของธนาคารเองคงจะเน้นการเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียมให้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ธนาคารสามารถทำได้ตามเป้าที่กำหนด และในกลางปีนี้จึงจะมีการพิจารณาเป้าหมายในการทำกำไรอีกครั้ง
“ภาวะเศรษฐกิจปัจุปันประกอบกับปัจจัยต่างๆ เป็นเรื่องที่น่าหนักใจต่อการทำกำไรของธนาคาร ขณะที่กระทรวงการคลังก็มีการปรับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเหลือ 4–4.5 % ซึ่งกำไรของธนาคารเองก็คงจะเป็นไปตามภาวะของเศรษฐกิจ และธนาคารเองก็คงเน้นไปที่การเพิ่มรายได้จากค่าธรรมเนียมให้มากขึ้น จากที่เรายังไม่ได้ทำอะไรอีกเยอะเพื่อที่จะเป็นช่องทางการเพิ่มรายได้ผ่านเครือข่ายสาขาของธนาคาร ส่วนเรื่องของการล้างขาดทุนสะสม ถ้าเราไม่ทำอะไรอย่างอื่นเลย คงใช้แต่กำไรล้างขาดทุนคงจะให้เวลา 3–4 ปี แต่ถ้ามีแนวทางอื่นรวมด้วย การล้างขาดทุนก็น่าเร็วกว่า 3 ปี เรากำลังพยายามยามอยู่ ยังมีอะไรที่ไม่ได้ทำอีกเยอะ“นายสมใจนึกกล่าว
ส่วนการขายหุ้นเพิ่มทุนที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเลื่อนการขายออกไปเนื่องจากปัจจัยทางการเมืองไม่เอื้ออำนวยนั้น คาดว่าภายในเดือนมิถุนายนนี้จะสามารถกำหนดรายละเอียดได้เพิ่มขึ้นทั้งด้านระยะเวลาและราคาหุ้น ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาจังหวะที่เหมาะสมในการขายก่อน
"จริงๆแล้วปัจจัยการเมืองในขณะนี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจตอนนี้มีการขับเคลื่อนไปได้อยู่แล้ว ซึ่งปัจจัยในการพิจาณา ก็ไม่ได้ดูแค่ปัจจัยภายในเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยภายนอกที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย"นายสมใจนึกกล่าว
ด้านสัดส่วนการถือหุ้นจาก 3 เหล่าทัพ ซึ่งปัจจุปันมีสัดส่วนรวมกันประมาณ 5% นั้น เชื่อว่าทั้ง 3 เหล่าทัพจะยังคงใช้สิทธิ์ในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของธนาคาร เนื่องจากธนาคารมีกำไรจากการดำเนินงานที่ดี และความสัมพันธ์ของธนาคารกับ 3 เหล่าทัพยังดีอยู่ นอกจากนี้ หากมองในระยะยาวหุ้นของธนาคารน่าจะมีราคาขึ้น ยังมีเพียงแต่การล้างการขาดทุนสะสม ซึ่งเชื่อว่าผู้ถือหุ้นคงเข้าใจในเรื่องนี้
จับมือรัฐบาลเดนมาร์กจับคู่พันธมิตรธุรกิจ
นอกจากนี้ นายปราการ ทวิสุวรรณ เจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจสาขากรุงเทพฯ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)(TMB) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ดำเนินความร่วมมือทางธุรกิจด้านสิ่งแวดล้อม ระหว่างไทย–เดนมาร์ก” หรือ “Partnership Facility Programme in Thailand (2005-2007)” ซึ่งเป็นโครงการจับคู่พันธมิตรนักธุรกิจไทย-เดนมาร์ก เพื่อจัดตั้งธุรกิจในประเทศไทย และรับถ่ายทอดระบบเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์พลังงานจากประเทศเดนมาร์ก เช่น การผลิตโดยใช้เทคโนโลยีสะอาด การจัดการของเสีย การใช้พลังงานหมุนเวียน และพลังงานทดแทน ที่มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์สำหรับประเทศไทย
ทั้งนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ คือ ผู้ผลิตอุปกรณ์และระบบเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานที่ต้องการพัฒนาต่อยอดและสรรหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดในประเทศ โดยธนาคารมีทีมบริหารโครงการที่พร้อมจะให้คำแนะนำและรายละเอียดต่างๆ
นายปราการกล่าวว่า ธนาคารได้เริ่มทำหน้าที่ผู้บริหารโครงการ นับตั้งแต่การสรรหาผู้ร่วมทุนที่มีศักยภาพ การพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ การติดตามโครงการ และให้คำปรึกษาต่างๆซึ่งมีงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลเดนมาร์กจำนวนกว่า 150 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเดินทางพบปะเจรจาระหว่างคู่พันธมิตร การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ และการดำเนินโครงการสาธิต เป็นต้น
"เดนมาร์กเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีชั้นนำด้านการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ประกอบกับธนาคารทหารไทยมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจพลังงานและสิ่งแวดล้อม มีฐานข้อมูลลูกค้าและเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงเชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับรัฐบาลเดนมาร์กในครั้งนี้จะส่งผลให้ธนาคารสามารถให้บริการแก่ลูกค้า และผู้สนใจลงทุนได้อย่างหลากหลายและครบวงจรมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังได้รับความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมที่ปรึกษาด้านอนุรักษ์พลังงาน จึงคาดว่าในปลายปีนี้จะมีผู้ประกอบการไทยที่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ของโครงการ สามารถเข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยกว่า 5 โครงการ"นายปราการกล่าว
|
|
|
|
|