Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน31 พฤษภาคม 2549
เนสท์เล่งดลงทุนใหญ่โยก6กลุ่มขึ้นตรงตปท.             
 


   
www resources

โฮมเพจ เนสท์เล่ประเทศไทย

   
search resources

เนสท์เล่ (ไทย), บจก.
Consumer Products




“เนสท์เล่” ปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่รับเศรษฐกิจไทยผันผวน ลดบทบาทคนไทย ชูโมเดลเนสท์เล่ทั่วโลก รีดไขมันองค์กรฝ่าวิกฤติ รวบ 12 แคธิกอรี่ เป็น 6 กลุ่มธุรกิจหลักขึ้นตรงต่อต่างประเทศ เพิ่มความยืดหยุ่น-สภาพคล่อง พร้อมตั้งหน่วยงานกลางบริหารต้นทุน เพิ่มความเข้มข้นใช้สื่อโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพสูง งัดกลยุทธ์ไซส์ซิ่ง ชู 3 กลยุทธ์หลักลุย สิ้นปีตั้งเป้าโต 8% กวาดรายได้กว่า 2.9 หมื่นล้านบาท

นายเกรแฮม แคมพ์เบลล์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ได้แก่ เนสกาแฟ นมผงสำหรับเด็ก เป็นต้น เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างภายในองค์กรครั้งใหญ่ โดยใช้โมเดลเดียวกับเนสท์เล่ทั่วโลก ได้แก่ การแบ่งหน่วยงานเป็น 6 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มไอศกรีม,กลุ่มน้ำดื่ม,กลุ่มอาหารบำรุงสุขภาพ,กลุ่มผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง,กลุ่มอาหารเช้าซีเรียลและกลุ่มขายของชำ ได้แก่ นมผงสำหรับเด็ก ไมโล เนสกาแฟ ครีมเทียม ฯลฯ โดยทั้ง 6 หน่วยงานจะขึ้นตรงกับเนสท์เล่สำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ

ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เหลือจะขึ้นตรงกับประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารกลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย คือ นายเกรแฮม แคมพ์เบลล์ เพียงผู้เดียว

ทั้งนี้การปรับโครงสร้างองค์กรดังกล่าว ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และประการสำคัญคือสอดคล้องกับสภาพความผันผวนของเศรษฐกิจและภาวะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น จากเดิมโครงสร้างองค์กรเนสท์เล่ในประเทศไทย กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มแบ่งเป็น 12 แคธิกอรี่ ส่งผลให้มีการทำงานที่ซ้ำซ้อนและไม่สามารถโฟกัสในแต่ละธุรกิจได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มไอศกรีมเนสท์เล่และน้ำดื่มเพียวไลท์บริษัทวางเป้าหมายขึ้นเป็นผู้นำตลาด จากปัจจุบันไอศกรีมเนสท์เล่มีส่วนแบ่ง 42% จากมูลค่าตลาด 7,000 ล้านบาท ส่วนน้ำดื่มเนสท์เล่เพียวไลท์มีส่วนแบ่ง 23-24% จากมูลค่าน้ำดื่มขวดเพ็ท 6,500 ล้านบาท

ตั้งหน่วยงานกลางบริหารต้นทุน

นายแคมพ์เบลล์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯยังได้จัดตั้งหน่วยงานกลางดูแลการพัฒนาบุคคลทั้ง 6 หน่วยงาน รวมทั้งบริหารระบบซัปพลายเชน ด้วยการติดตั้งระบบไอทีคำนวณระบบการขนส่งทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนค่าขนส่งที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งขณะนี้กำลังวางแนวทางอย่างจริงจังนำพลังงานอื่นมาใช้ทดแทน เพราะบริษัทฯไม่มีนโยบายปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นแต่เน้นการบริหารต้นทุนแทน

ขณะเดียวกันด้านการใช้งบในการตลาดจะมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยจะเลือกใช้สื่อให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและสินค้า ทั้งนี้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมกันนี้ยังงัดกลยุทธ์ไซส์ซิ่งหรือการปรับขนาดให้เล็กลง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดและกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง

“ปีนี้บริษัทฯไม่มีแผนลงทุนโรงงานใหม่ แต่เน้นการปรับปรุงโรงงานที่มีอยู่ทั้งหมด 6 แห่ง เพื่อรองรับกับผลิตภัณฑ์ใหม่รวมทั้งกำลังการผลิตสินค้าใหม่ ส่วนกรณีที่หันมาเน้นผลิตสินค้าที่มีความหวานน้อยนั้น สืบเนื่องจากราคาน้ำตาลปรับเพิ่มขึ้น บริษัทฯคงต้องดูถึงความต้องการของตลาดเป็นหลักก่อน แม้ว่าปัจจุบันกระแสสุขภาพกำลังมาแรง แต่นโยบายของเรายังคงต้องรักษาความสมดุลย์ของสินค้าเป็นหลัก”

ชู3กลยุทธ์ดันโต8%กวาด2.9หมื่นล.

นายแคมพ์เบลล์ กล่าวถึงกลยุทธ์องค์กร”ก้าวล้ำเหนือการเปลี่ยนแปลง” 3 ประการ ที่เนสท์เล่นำมาปรับใช้เพิ่มช่วยเพื่อศักยภาพความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรและธุรกิจ ประกอบด้วย ประการแรก การพัฒนาบุคลากรให้มีส่วนร่วม มีความรับผิดชอบสูง เน้นการทำงานเป็นทีม ประการสอง การพัฒนาระบบการทำงาน เช่นนำระบบ GLOBE โปรแกรมที่ช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซ้ำซ้อน ทำงานได้รวดเร็วขึ้น และประการสุดท้าย คือการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมเพื่อผู้บริโภค ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้เปิดนวัตกรรมใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์นมตราหมีบีบ ผลิตภัณฑ์ตราหมีโกลด์ และผลิตภัณฑ์ไอศกรีมเนสท์เล่เอ็กซ์ตรีม

สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทฯตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 8% หรือมีรายได้ 29,160 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมาเนสท์เล่มีรายได้รวม 27,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 7% ซึ่งถือว่าปีนี้เนสท์เล่ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยมี 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าเรือธงที่สร้างรายได้ให้กับบริษัท ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟ ครีมเทียม กลุ่มผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็ก กลุ่มผลิตภัณฑ์นมน้ำบรรจุกระป๋อง และกลุ่มไอศกรีมซึ่งในปีที่ผ่านมาสามาถขึ้นครองตำแหน่งผู้นำตลาดรวมในปี 2548 กับไอศกรีมวอลล์ โดยกลุ่มไอศกรีมเนสท์เล่และมีอัตราการเติบโตสูงกว่า 30%

ในส่วนรายได้เนสท์เล่ อินโดไชน่า ปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 6-7% สูงกว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ จากในปีที่ผ่านมาเนสท์เล่ อินโดไชน่ามีรายได้ 3.8หมื่นล้านบาท เติบโต 8.4% แบ่งเป็น รายได้จากการส่งออกของประเทศไทย 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 22% ของยอดขายกลุ่มเนสท์เล่ อินโดไชน่า ส่วนที่เหลือ 3 หมื่นล้านบาท เป็นรายได้มาจาก ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนาม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us