Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2539
ทองฉัตร หงส์ลดารมภ์ ประสานประโยชน์ผู้ถือหุ้นใน TT&T             
โดย ไพเราะ เลิศวิราม ปิยาณี รุ่งรัตน์ธวัชชัย
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ทีทีแอนด์ที จำกัด (มหาชน)

   
search resources

ทีทีแอนด์ที, บมจ.
ทองฉัตร หงส์ลดารมภ์
Telecommunications




"ดร.ทองฉัตร หงส์ลดารมภ์" เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตำแหน่งใหม่ใน TT&T นอกจากจะเป็นอีกก้าวของการเข้าสู่งานเทเลคอมฯ ที่ท้าทายสำหรับตัว ดร.ทองฉัตร เอง หลังจากที่มีผลงานมามากในธุรกิจพลังงาน ดร.ทองฉัตร ยังถูกมองว่า เข้ามาลดแรงเสียดทานระหว่างบทบาทของ ดร.อดิศัย โพธารามิก และกลุ่มล็อกซเล่ย์ ผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ของ TT&T ภูเขาไฟที่กรุ่น ๆ อยู่ระหว่างผู้ถือหุ้นเรื่องคนใน TT&T อาจจะสงบได้ในขณะนี้ แต่เรื่องของผลประกอบการที่ไม่เป็นไปตามเป้า ผู้รับผิดชอบใน TT&T จะแก้ไขอย่างไรให้ผู้ถือหุ้นทุกฝ่ายพอใจได้มากกว่านี้

"ผมถูกชวนมารับตำแหน่งที่นี่เป็นปี แต่มาตัดสินใจในปีนี้ เริ่มตัดสินใจจริง ๆ ก็ก่อนที่จะมารับงานประมาณ 6 เดือน หมายถึงเริ่มสนใจดูจนกระทั่งแน่ใจ แล้วจึงมาดูนโยบายว่าจะมีปัญหากับที่ทำงานเก่าไหม เริ่มหาคนมาแทนแล้วก็พอดีกับหมดสัญญากับ TA ที่ทำงานเก่า" ดร.ทองฉัตร หงส์ลดารมภ์ กล่าวถึงขั้นตอนก่อนจะมาร่วมงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของบริษัทไทยเทเลโฟน แอนด์ เทเลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TT&T

ในขณะที่ ดร.อดิศัย โพธารามิก ประธานกรรมการบริหาร (ซีอีโอ) ของ TT&T ก็กล่าวถึงการเชิญ ดร.ทองฉัตร มาร่วมงานที่ตรงกันว่า

"เป็นเรื่องที่คิดมานาน มีการเสนอที่ประชุมคณะกรรมการผู้ถือหุ้น เพราะเห็นว่าถึงเวลาต้องมีคนมาดูแลงานประจำอย่างเต็มเวลา ซึ่งผู้ถือหุ้นก็เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่มีการเสนอ TT&T ต้องการ ดร.ทองฉัตร มาช่วยในการบริหารงาน โดยไม่ได้มุ่งหวังที่จะต้องรู้เรื่องโทรศัพท์ เพียงแต่รู้จักใช้คนและบริหารงานเป็นเท่านั้น"

ทั้งนี้ ดร.อดิศัย เองย้ำว่า งานที่ ดร.ทองฉัตร จะดูให้กับ TT&T จึงไม่เหมือนกับยุคที่ ดร.ทองฉัตร ทำให้กับ TA เพราะเป็นคนละยุค จึงจะเปรียบเทียบกันไม่ได้ว่า ดร.ทองฉัตรจะนำประสบการณ์สมัยเมื่ออยู่ TA ของกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์มาใช้ได้ผลที่นี่หรือไม่

"การที่เราเชิญ ดร.ทองฉัตร มา เพราะเราดูว่า ดร.ทองฉัตร มีผลงานมาก เคยเป็นทั้งผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และยังเป็นคนที่แอกทีฟ ตอนนี้ก็ยังทำงานเป็นประธานให้กับการนิคมอุตสาหกรรม งานที่ TT&T ต้องการตอนนี้ คือ เมื่อระบบเราเป็นขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั้งประเทศ เราจึงต้องการงานบริหารให้กระชับขึ้น ในขณะเดียวกัน งานด้านอื่นทั้งการก่อสร้างและการตลาดก็ยังดำเนินต่อไปพร้อม ๆ กัน" ดร.อดิศัย กล่าว

ด้าน ดร.ทองฉัตร ภายหลังจกาเข้ามาร่วมงานกับ TT&T ได้เดือนเศษ โดยเข้ามาเริ่มงานเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2539 ก็เอ่ยปากยอมรับว่า งานที่เตรียมไว้ให้มีการจัดเป็นรูปเป็นร่างอยู่แล้ว ตนมีเพียงหน้าที่เข้ามาทำความคุ้นเคยกับทางผู้บริหาร ทีมงาน และผู้ถือหุ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จัดเป็นคนคุ้นเคยกัน และรู้จักกันมาเป็น 10 ปี โดยยกตัวอย่างทั้ง วิโรจน์ นวลแข จากกลุ่มภัทรธนกิจ เปรมชัย กรรณสูต ของกลุ่มอิตาเลี่ยนไทย ซึ่งเป็นกรรมการผู้ถือหุ้น

โดยก่อนหน้าที่จะเข้ามา ดร.ทองฉัตร ได้มองภาพ TT&T ไว้ว่า เป็นองค์กรที่แข็ง เนื่องจากประกอบด้วยผู้ถือหุ้นจาก 5 กลุ่มใหญ่ คือ จัสมิน ล็อกซเล่ย์ ภัทรธนกิจ อิตาเลี่ยนไทย และเอ็นทีที และอาจจะแข็งกว่า TA ซึ่งมีเพียงเครือเจริญโภคภัณฑ์เป็นแบ็กอัพหลักอยู่เพียงรายเดียว ทำให้ภาพของ TT&T อาจจะดูได้เปรียบ TA ในด้านของผู้ถือหุ้น

"ช่วงที่อยู่ทีเอ ผมมองว่า TT&T เป็นพันธมิตรธุรกิจ เพราะทั้งสองบริษัททำธุรกิจเดียวกัน แต่แยกพื้นที่กันชัดเจนแล้ว พื้นที่ที่แยกก็เป็นส่วนเสริมซึ่งกันและกัน เพราะถ้ามีคนใช้สายของ TA ในเขตกรุงเทพฯ มาก คนใช้สายของ TT&T ในต่างจังหวัดก็จะโทรเข้ามาได้มาก และสายของ TA ในกรุงเทพฯ ก็โทรไปยังต่างจังหวัดได้มากขึ้น" ดร.ทองฉัตร กล่าว

และนั่นคือ อีกเหตุผลหนึ่งที่ ดร.ทองฉัตร ตัดสินใจมาอยู่กับ TT&T เพราะเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ขัดแย้งกับธุรกิจขององค์กรเดิม นอกเหนือจากการมองว่า ธุรกิจโทรคมนาคมเป็นงานที่ท้าทาย สำหรับตนและมีโอกาสขยายตัวเติบโตไปได้อีกไกล โดยไม่ได้มุ่งหวังตนจะต้องเป็นหนึ่งในธุรกิจโทรคมนาคม เหมือนกับที่มีผลงานให้เห็นชัดกว่าในธุรกิจพลังงานที่เคยผ่านมามากกว่า

พร้อมทั้งเชื่อว่า การทำงานเป็นทีมที่ TT&T ที่รวมคนจาก 5 กลุ่ม กับสมัย TA ที่เป็นทีมเดียวจากซีพี และมีศูนย์กลางที่คน ๆ เดียว คือ ธนินทร์ เจียรวนนท์ ก็ไม่มีปัญหา เพราะการทำงานต้องเป็นไปตามระบบ

ความคิดที่ว่า ดร.อดิศัย ดึง ดร.ทองฉัตร เข้ามาร่วมงาน เพราะหวังสายสัมพันธ์ในธุรกิจพลังงานนั้น ดร.ทองฉัตร กล่าวว่า ในแง่ของคนคุ้นเคยก็คงจะช่วยกันได้ แต่เป็นการช่วยแบบส่วนตัวมากกว่าการถือเป็นหน้าที่จริงจัง เพราะโดยหน้าที่ที่ได้รับ คือ เน้นการเข้ามารับงานในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ TT&T เป็นหลัก

"จากหลักการที่คุยกัน ผมมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ รับผิดชอบบริหารงานทั้งหมดของ TT&T หน้าที่ก็เหมือนกับกรรมการผู้จัดการใหญ่ทั่วไป คือ บริหารงาน แล้วรายงานต่อประธานกรรมการบริหาร รายงานต่อกรรมการบริษัท สำคัญที่เลือกใช้คนรับผิดชอบในระดับจัดการให้เหมาะสม เพราะโดยธรรมชาติงานบริหารไม่ต่างกัน และอย่างน้อยงานด้านเทเลคอมฯ ผมก็มีประสบการณ์พอสมควร รวมทั้งพื้นฐานของวิศวกรรมที่มี ผมก็นำมาใช้ได้มาก" ดร.ทองฉัตร กล่าว

โดยเน้นว่า การบริหารระดับสูงมักจะหนีไม่พ้นเรื่องเงิน เรื่องคน เรื่องเลือกโครงการประสานงานเท่านั้น

การมาของ ดร.ทองฉัตร หากดูผิวเผินอาจดูเหมือนเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม ดังที่ ดร.อดิศัย และ วสันต์ จาติกวณิช กล่าวว่า "เป็นเพราะช่วงของการวางข่ายสายโทรศัพท์ 1.5 ล้านเลขหมาย มีกำหนดเสร็จเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา และกำลังเข้าไปสู่การโอปะเรท คิดว่า ถึงจุดที่ลูกโตพอแล้วส่งเรียนหนังสือจบก็จะกลับมาทำงาน"

เรียกว่า ในช่วงแรกยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของจัสมินมาช่วย เนื่องจากเป็นช่วงของการก่อสร้าง ซึ่งผู้ถือหุ้นทุกฝ่ายก็ส่งคนเข้าไปช่วย ในขณะที่ TT&T เองก็รับคนเข้ามาใหม่อยู่ตลอดเวลา

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ทุกฝ่ายก็เรียกคนของตนกลับคืน ซึ่งในส่วนของล็อกซเล่ย์ วสันต์ให้เหตุผลว่า TT&T สามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยกำลังคนจากผู้ถือหุ้นที่ส่งเข้ามาอีกต่อไป เดิมของล็อกซเล่ย์จะดูในเรื่องการก่อสร้าง แต่ตอนนี้เปรียบได้กว่า

"คนสร้างรถไฟกับคนขับรถไฟ มันก็เป็นคนละคนกัน เวลานี้มันก็เกือบจะเป็นเพียวโอปะเรชั่น ดังนั้น งานมันก็ต่างจากเดิม จะเอาคอนแทรกเตอร์มาเป็นโอปะเรเตอร์ก็ไม่ได้ ต่อไปเรื่องที่ต้องดู คือ ทำอย่างไรจะบริหารระบบให้ดีที่สุด รวมทั้งการตลาดที่จะต้องใช้คนอีกลักษณะหนึ่ง"

หรือถ้าจะเปรียบไปแล้ว ก็คือ ดร.อดิศัย เปรียบเสมือน พ่อของ TT&T ที่เคยดูแลมาทุกวันๆ เพราะข้อตกลงที่มีมาแต่ต้นว่า จะให้จัสมินเป็นผู้ดำเนินการพร้อมกันนั้นก็มีหน้าที่ต้องดูแลจัสมิน แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องหาผู้ช่วยที่จะมาทำได้เต็มตัว โดยที่ ดร.อดิศัย ก็ยังคงอยู่ในฐานะซีอีโอที่มีหน้าที่เพียงคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ

"ไม่ต่างอะไรกับคนของล็อกซเล่ย์ที่ส่งเข้าไปในฐานะคอนแทรกเตอร์ ในช่วงจั๊มสตาร์ทของ TT&T แล้วดึงกลับเมื่อเสร็จงาน จากนั้น TT&T ก็เริ่ม recuit คนเข้ามาเรื่อย ๆ" วสันต์ กล่าว

การมาของ ดร.ทองฉัตร ในครั้งนี้ วสันต์เชื่อว่า จะช่วยในเรื่องงานด้านโอปะเรชั่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะงานประจำวัน ซึ่งตัว ดร.ทองฉัตร เป็นผู้มีประสบการณ์ เคยร่วมงานในองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีพนักงานเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยให้เติบโตจนทุกวันนี้ หรือ การนั่งเป็นประธานการนิคมฯ และเป็นผู้ที่มีคอนเนคชั่น อยู่ในหลาย ๆ หน่วยงาน จะช่วยให้การติดต่อกับข้าราชการ หรือองค์กรต่าง ๆ รวมทั้งการบริหารงานภายในเดินไปได้อย่างดี

"งานของ ดร.ทองฉัตร ที่ TT&T จะถือเป็นคนละช่วงกับงานที่เคยทำที่ TA เพราะช่วงที่ ดร.ทองฉัตร อยู่ TA เป็นช่วงการก่อสร้างข่ายสาย แต่ที่ TT&T จะเป็นช่วงของโอปะเรชั่น ซึ่งผมเชื่อว่า ดร.ทองฉัตร มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่า" วสันต์ กล่าว

ส่วนเรื่องการตัดสินใจหาผู้มารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ที่ ดร.ทองฉัตร รับไปในครั้งนี้ วสันต์ กล่าวว่า ก็คงมีการดูคนอื่นด้วย แต่ก็ถือว่าเป็นความลับของบริษัท เพราะถึงอย่างไรในที่ประชุม ผู้ถือหุ้นก็ตกลงรับ ดร.ทองฉัตร เข้ามาแล้ว

ด้าน ดร.ทองฉัตร ก็กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า อาจจะมีคนอื่นที่ถูกเสนอชื่อเข้ามารับตำแหน่งนี้จากผู้ถือหุ้นรายอื่น แต่การที่ตนเข้ามารับตำแหน่งได้ก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นแล้ว

โดยกล่าวติดตลกว่า เหตุผลที่ตนได้รับเลือกให้มารับตำแหน่งนี้ อาจเป็นเพราะตนอาวุโสกว่าคนอื่นก็เป็นได้

อย่างไรก็ดี แม้จะมีตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ขึ้นมา ก็เป็นเพียงการลดภาระมิใช่ลดบทบาทของ ดร.อดิศัย เพราะในฐานะซีอีโอ ดร.อดิศัย ก็ยังคงมีบทบาทในการรับรู้และกำหนดนโยบายของ TT&T โดยผ่านบอร์ดผู้ถือหุ้นอยู่เช่นเดิม

บทบาทของ ดร.อดิศัย ที่ผู้ถือหุ้นบางรายมองว่า มีมากเกินไปจึงไม่ได้ถูกลดลงแต่อย่างไร จะลดลงก็แต่งานรายวัน จากเดิมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดร.อดิศัย สรุปัดส่วนการทำงานของตนว่า 80% ทำให้กับทีทีแอนด์ที ที่เหลือ 20% ทำให้จัสมิน แต่ขณะนี้ ภายหลังจากได้ ดร.ทองฉัตร เข้ามาช่วยอีก 1 คนในตำแหน่งใหม่ที่ตั้งขึ้น ดร.อดิศัย เองก็ยังสรุปงานของตนในทีทีแอนด์ทีออกมาว่า

"งานของผมในทีทีแอนด์ทีก็เท่าเดิม เพียงแต่เซ็นต์หนังสือน้อยลง"

ว่ากันตามจริงแล้ว ตำแหน่งที่ ดร.ทองฉัตร เข้ามารับนั้น เดิมมี มร.นากาซากิ ตัวแทนจากเอ็นทีที เป็นผู้ดูแลอยู่ภายใต้ตำแหน่งซีโอโอ โดยทำหน้าที่บริหารงานประจำวัน ก่อนจะว่างลงเมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้ที่ มร.นากาซากิ ไปรับตำแหน่งที่อเมริกา จนทุกคนเห็นว่าเหมาะสมและเชื่อกันว่า ดร.ทองฉัตร เหมาะที่จะมารับหน้าที่ภายใต้ตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่ในทีทีแอนด์ที

การส่งคนเข้ามาช่วยใน TT&T ของเอ็นทีที ก็เป็นในลักษณะเดียวกับผู้ถือหุ้นรายอื่น คือ ช่วงแรกที่เป็นช่วงการก่อสร้าง และการจัดตั้งระบบแมนเทอร์แนนซ์ เมื่อเอ็นทีทีมีความเชี่ยวชาญก็ส่งคนมาช่วย แต่เมื่อถึงงานด้านตลาด แม้เอ็นทีทีจะมีประสบการณ์ญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ช่วยอะไรได้ในตลาดเมืองไทย เพราะการพัฒนาที่ต่างกันจำนวนคนจากเอ็นทีทีจึงลดลงเรื่อย ๆ ในช่วงหลัง โดยปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 15 คนจากเดิมมีอยู่ถึง 40 คน

"เอ็นทีที เข้ามาลงทุนนอกประเทศครั้งแรกที่เมืองไทย เป็นหุ้นส่วนด้านกลยุทธ์ มาช่วยเรื่องเทคนิค ทำงานจับคู่กับคนไทยตลอด เป็นความต้องการขององค์กรฯ ที่มีอยู่ในทีโออาร์ที่ต้องการให้ช่วยด้านเทคโนโลยีโดยมีสัญญาอยู่ 3-4 ปี หลังจากนั้นเขาก็จะกลับประเทศ แต่ก็คงทิ้งหุ้นเอาไว้" ดร.อดิศัย กล่าวถึงการถือหุ้นในส่วนของเอ็นทีที

ปัญหาหลักของ TT&T ไม่ได้อยู่ที่กระแสการไม่พอใจของผู้ถือหุ้น ต่อการมีบทบาทอย่างแยกไม่ออกระหว่าง ดร.อดิศัย จัสมิน และ TT&T เท่านั้น เรื่องของผลประกอบการ ก็เป็นเรื่องที่ผู้ถือหุ้นให้ความสนใจ ตามเอาใจใส่อยู่ไม่ห่าง

ดังนั้น แล้วการดึงเอา ดร.ทองฉัตร เข้ามารับผิดชอบและรั้งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในขณะนี้เรื่องที่ต้องคอยดูแล คือ เรื่องของผลประกอบการ ซึ่งหลายฝ่ายทั้งหุ้นส่วนของ TT&T และองค์การโทรศัพท์เองก็มองว่า ผู้ใช้และรายได้ต่อเลขหมายไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์กันไว้เท่าไรนัก

ยอดผู้จองในส่วนของ 1 ล้านเลขหมาย ดร.ทองฉัตร เปิดเผยว่า ปัจจุบันมียอดผู้จองอยู่ 8 แสนกว่าเลขหมาย สามารถให้บริการได้แล้ว 6 แสนกว่าเลขหมาย ที่เหลือคาดว่าจะเร่งทำตลาดให้ได้ครบ 1 ล้านเลขหมายในสิ้นปี โดยเร่งไปที่หน่วยปฏิบัติและเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายให้เร่งทำตลาดกับทางบริษัท ห้างร้าน ในท้องถิ่นเป็นหลัก ส่วนตามบ้านหากเป็นพื้นที่ที่ไม่เคยมีโทรศัพท์มาก่อนจะมีการขอติดตั้งและจองซื้อเข้ามาเร็ว

แต่ปัญหาเรื่องรายได้ต่อเลขหมาย ดร.อดิศัย เองยอมรับว่า จากที่ประมาณไว้ 13,000-14,000 บาทต่อเลขหมายต่อเดือนนั้น มีรายได้จริงในตอนนี้เพียง 800 บาทต่อเลขหมายต่อเดือน ซึ่งน้อยลงกว่าเดิมมาก

"เป็นเพราะว่าถ้าคิดเรื่องค่าโทรศัพท์ทางไกลเทียบกับโทรศัพท์ระบบเซลลูลาร์ จะแพงกว่าเซลลูลาร์ที่มีราคาอยู่ที่ 8 กับ 12 บาท แต่ของ TT&T ค่าโทรศัพท์ทางไกลอยู่ที่ 18 บาท ทำให้เราเสียรายได้ค่าโทรศัพท์ทางไกลไปมาก" ดร.อดิศัย กล่าว

TT&T เร่งแก้ปัญหาตรงจุดนี้ด้วยการต่อรองราคาให้เหลือ 12 บาท ลดลงจากเดิม 33% และคิดว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นได้ เพราะทางองค์การโทรศัพท์ก็ไม่ต้องรับภาระเพียงแต่ได้เงินน้อยลง แต่ทาง TT&T เห็นว่าจะเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนได้ใช้โทรศัพท์มากขึ้น และแน่นอน TT&T ย่อมได้ประโยชน์จากรายได้ต่อการใช้เลขหมายที่เพิ่มขึ้นมา

ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาค่าโทรศัพท์นี้ได้ รายได้ของ TT&T ก็คงจะไม่ดีขึ้น เพราะเป็นไปไม่ได้ว่าคนจะใช้โทรศัพท์ที่มีราคาต่างกันถึง 2 ระบบในบ้านหลังหนึ่ง ๆ

ในขณะที่ฝ่ายล็อกซเล่ย์ วสันต์ก็กล่าวถึงปัญหาเดียวกันว่า คนต่างจังหวัดยังนิยมใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่าโทรศัพท์พื้นฐาน เพราะราคาค่าใช้ต่อนาทีถูกกว่า ทำให้รายได้ของ TT&T ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือที่วสันต์เรียกว่า "รายได้มันไม่ดี แต่มันก็ไม่เลว"

เพราะอย่างน้อย วสันต์ก็มองว่า TT&T ไม่ได้ขาดทุน แต่ก็ไม่มีรายได้ที่ดี เพราะต้องลงทุนล่วงหน้าไว้เหมือนกับการซื้ออนาคต ต้องอาศัยเวลาให้ความต้องการผู้ใช้เพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่า เมื่อมีโครงการโทรศัพท์ 6 ล้านเลขหมายเข้ามาก็จะช่วยทำให้ความต้องการของผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในตอนนี้ คือ การลงทุนเร่งติดตั้งโทรศัพท์ให้เสร็จตามแผน โดยต้องยอมรับว่าความต้องการที่มีไม่สอดคล้องกับเลขหมายที่มีอยู่ จึงส่งผลโดยตรงต่อรายได้ ไม่เหมือนกับกรณีที่ติดตั้งตามความต้องการซึ่งจะทำให้คุมรายได้ได้ตามประมาณการ

ในส่วนของโทรศัพท์อีก 5 แสนเลขหมายที่เหลือที่ทาง TT&T ได้มอบเลขหมายให้องค์การโทรศัพท์ฯ แล้ว 274,560 เลขหมาย จำนวน 435 ชุมสาย โดยมีผู้จองใช้บริการ 237,132 เลขหมาย โดยสามารถให้บริการได้ก่อนกำหนดส่งมอบเมื่อ 30 ก.ย. 39 ได้ 19,832 เลขหมาย ที่เหลือหากส่งมอบไม่ได้ตามกำหนด TT&T จะต้องถูกปรับเลขหมายละ 18 บาทต่อวัน

"ส่วนของ 5 แสนเลขหมาย เราไม่ได้ทำเหมือน 1 ล้านเลขหมาย คือ ลงทุนไปก่อนแล้วหาดีมานด์ แต่เราใช้วิธีเข้าไปรับจองก่อนกำหนดเป้าหมายแต่ละชุมสาย เพื่อจะได้รู้ดีมานด์ทันทีว่ามีผู้ต้องการใช้บริการอยู่ที่ไหน อย่างไร ต้องการกี่เลขหมาย ทั้งยังไม่ต้องกำหนดมาสเตอร์แปลน สามารถขายเลขหมายได้ทันที พื้นที่ไหนมีความต้องการมากหรือน้อยก็สามารถปรับเปลี่ยนย้ายชุมสายเข้าออกได้ตามดีมานด์" ดร.อดิศัย กล่าวถึงงานในส่วน 5 แสนเลขหมาย ที่เปลี่ยนกลยุทธ์ให้คล่องตัวขึ้น

สิ่งที่ ดร.อดิศัย ดำเนินงานเป็นสิ่งที่ล็อกซเล่ย์ ให้ความสนใจอยู่เสมอ แต่การเข้าไปยุ่งในส่วนการดำเนินงานคงไม่ทำ เพราะอย่างน้อยคนของล็อกซเล่ย์เองก็มีไม่พอ

และหากดูไปแล้ว นอกเหนือจากการถือหุ้นร่วมกันใน TT&T โดยภาพรวมงานของล็อกซเล่ย์และจัสมินมีส่วนที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ ซึ่งในส่วนนี้แหล่งข่าวของล็อกซเล่ย์ กล่าวว่า ถ้าเป็นธุรกิจที่นอกเหนือจากไลน์ที่กำหนดไว้ให้ TT&T ทำแล้ว จัสมินกับล็อกซเล่ย์ก็ประมูลสู้กันมาตลอด 5-6 ปีที่ผ่านมา

"เรื่องที่ต้องแข่งขัน เราก็แข่งกันอย่างแฟร์ ๆ โดยไม่ต้องมาคุยกัน จะไม่มีการไม่พอใจในส่วนนี้ สิ่งที่ล็อกซเล่ย์ไม่พอใจคงจะเป็นเรื่องผลประกอบการของ TT&T ซึ่งทุกคนก็ไม่พอใจ ไม่ใช่ไม่พอใจในบุคคลว่าทำงานอย่างไร เช่น เรื่องรายได้ต่อเลขหมายที่คาดการณ์ไว้แล้ว ไม่ได้ตามเป้า ก็อาจจะมีสาเหตุมาจากตลาดรวมไม่ดี ไม่ใช่อยู่ที่คนทำ" แหล่งข่าว กล่าว

นอกจากปัญหาเรื่องรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เรื่องของบริการเสริมอื่น ๆ TT&T เองก็ยังดูไม่ตื่นเต้นที่จะได้มา จนดูเหมือนว่า ได้บริการเสริมอื่น ๆ เพราะ TA ซึ่งความจริงแล้ว แหล่งข่าวล็อกซเล่ย์ซึ่งถือเป็นผู้ถือหุ้นที่มีบทบาทมากสุดรองจาก ดร.อดิศัย จากจัสมิน กล่าวว่า

"ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ TT&T ไม่ค่อยมีการพูดถึงบริการเสริมเหล่านี้มากเหมือนกับ TA เป็นเพราะ TT&T มาทีหลัง และทำกันคนละตลาด แต่ก็มีการเสนอที่จะทำมาตลอด และก็ทำในนาม TT&T ซึ่งอาจจะตั้งเป็นบริษัทลูกขึ้นมารับงาน โดยเป็นบริษัทลูกที่ TT&T จะต้องถือหุ้นทั้งหมด"

ดร.อดิศัย กล่าวว่า "บางส่วนของบริการเสริมก็ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว เช่น ในส่วนของโทรศัพท์สาธารณะ ที่มีประมาณ 40,000 เครื่อง และคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ต่อเลขหมายเดือนละ 4,000 บาทก็ได้ทำการติดตั้งไปแล้ว 4,500 เครื่อง ใน 3 จังหวัด และเริ่มมีรายได้จากส่วนนี้แล้ว"

ส่วนพีเอชเอส กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า "ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจากับองค์การโทรศัพท์และคิดว่าจะเริ่มลงมือหลังจากเซ็นสัญญาได้ใน 3 เดือน ส่วนจะเริ่มในจุดไหน ต้องรอดูรายละเอียดของแผนงานอีกครั้งหนึ่ง"

สรุปงานหลักของ TT&T ที่ต้องเร่งรับมือในตอนนี้ คือ การเร่งติดตั้งข่ายสายให้ครบ ทั้ง 9 เขตทั่วประเทศ พร้อมกับทำรายได้ให้เป็นที่พอใจต่อผู้ถือหุ้นทุกฝ่าย ซึ่งภาระนี้นอกจาก ดร.อดิศัย ผู้รับผิดชอบในฐานะซีอีโอของ TT&T แล้ว ดร.ทองฉัตร ผู้มารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ คงต้องรับหน้าที่ดูแลต่อไปอย่างเต็มตัว หลังจากเดินสายแนะนำตัวในช่วงนี้ครบทุกเขตงานของ TT&T เสียก่อน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us