Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน31 พฤษภาคม 2549
ขุนคลังยอมรับเริ่มมีสัญญาณอันตรายจากการลงทุนของต่างชาติมากขึ้น             
 


   
www resources

โฮมเพจ กระทรวงการคลัง

   
search resources

กระทรวงการคลัง
ทนง พิทยะ
Investment




“ทนง พิทยะ” ยอมรับเริ่มมีสัญญาณอันตรายความเชื่อมั่นและการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นหลังปัญหาการเมืองที่ยังไม่ยุติ จึงต้องเร่งชี้แจงทำความเข้าใจมากขึ้นขณะเดียวกันจะต้องเร่งลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น พร้อมส่งสัญญาณถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกจะซ้ำเติมเศรษฐกิจให้ทรุดหนักขึ้น

นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่าสถานการณ์การลงทุนที่ถดถอยในขณะนี้น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะจากการไปประชุมร่วมกับนักลงทุนญี่ปุ่นเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าในเวทีหารือครั้งนี้นักลงทุนไม่ได้ให้ความสำคัญกับประเทศไทย แต่จะเน้นหนักการลงทุนไปที่เวียดนามและอินเดียเป็นหลัก และนักลงทุนญี่ปุ่นยังไม่เข้าใจสถานการณ์การเมืองของไทยว่าทำไมถึงยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ทั้งที่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้ว จึงทำให้การลงทุนหยุดชะงัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณที่อันตรายอย่างมาก แม้ว่านักลงทุนยังไม่ได้ถอนการลงทุนออกไปก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงและต้องเร่งหาทางเพื่อชี้แจงสถานการณ์ที่แท้จริงในไทยให้นักลงทุนทราบเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ได้โดยเร็วที่สุด

นายทนง กล่าวว่า ทั้งไทยและญี่ปุ่น จำเป็นต้องเร่งลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับญี่ปุ่น (เจทีอีพีเอ) ซึ่งเป็นกรอบใหญ่ที่ครอบคลุมความร่วมมือในทุกด้านโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน หากล่าช้าอาจเกิดความเสียหายกับไทยได้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศทั้งไทยและญี่ปุ่นอยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าภายในเร็วๆ นี้ จะสามารถลงนามระหว่างกันได้ โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพราะคิดว่าจะใช้เวลารักษาการไม่นาน แต่จนถึงขณะนี้รัฐบาลเห็นว่าต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน จึงต้องเร่งผลักดันให้เกิดการลงนามร่วมกันโดยเร็ว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า กระทรวงการคลังจะติดตามสถานการณ์การลงทุนจากต่างประเทศอย่างใกล้ชิดว่าถดถอยไปมากน้อยเพียงใด หากประเทศใดถอนการลงทุนหรือชะลอการเข้ามาลงทุนในไทย ก็ต้องจัดทีมออกไปโรดโชว์เพื่อสร้างความเข้าใจฐานะของไทยให้ชัดเจน เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด รวมทั้งต้องเร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้ได้มากที่สุด เพื่อกระตุ้นให้เอกชนเข้ามาลงทุนและเกิดการอัดฉีดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ แม้ว่าหลายสถาบันรวมถึงกระทรวงการคลังที่ได้ปรับเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจเหลือเพียงร้อยละ 4.5 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวในระดับร้อยละ 4.5-5.5 โดยเฉพาะการขยายตัวการลงทุนโดยรวมทั้งภาครัฐและเอกชนที่เชื่อว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2 จากที่ในปี 2548 การลงทุนขยายตัวในระดับร้อยละ 11

นายทนง กล่าวอีกว่า สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องดีเพราะทำให้ต้นทุนเพิ่ม ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจกำลังถดถอยเช่นนี้ไม่แน่ใจว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะหากให้ยาแรงเกินไปอาจทำให้แพ้ยาได้เช่นกัน แต่ทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่จะประชุมกันในวันที่ 7 มิถุนายนนี้ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ต้องการให้นำเงินนอกงบประมาณมาฝากไว้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เป็นการโยกเงินฝากของส่วนราชการต่างๆ เท่านั้นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐให้สามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นและมีอัตราดอกเบี้ยต่ำเท่านั้น ไม่ใช่เป็นมาตรการบังคับ แต่เป็นการขอความร่วมมือเท่านั้น และไม่ได้กำหนดว่าจะให้อัตราดอกเบี้ยที่ร้อยละ 0 แต่ต้องเป็นอัตราดอกเบี้ยตามตลาด และในเร็วๆ นี้จะหารือกับกรมบัญชีกลางให้ชัดเจนอีกครั้งเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน โดยเท่าที่ทราบเงินทุนหมุนเวียนนอกงบประมาณ 300,000 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us