Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 พฤษภาคม 2549
วอลุ่มหดเหลือ6.4พันล้านต่ำสุด21เดือน             
 


   
search resources

Stock Exchange




หุ้นไทยเงียบเหงา มูลค่าการซื้อขายหดหายเหลือเพียง 6,397.38 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบ 21 เดือน นักลงทุนประเมินนักลงทุนยังมีความกังวลการเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ และรอปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นการซื้อขาย ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังเชื่อดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีแตะ 795 จุด ลุ้นเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลกลับรอบใหม่ คาดแรงซื้อจะกลับมาเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลงสลับกับแรงขายเพื่อทำกำไรออกมาเป็นระยะๆ

ภาวะตลาดหุ้นวานนี้(29พ.ค.)ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ซึ่งดัชนีปิดที่ระดับ 721.58 จุดเพิ่มขึ้น 4.08 จุดหรือ0.57% มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางเพียง 6,397.38 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามีมูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 1 ปี 9 เดือน (21 เดือน) โดยมูลค่าการซื้อขายที่อยู่ในระดับต่ำกว่านี้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2547 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 6,238.83 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 348.07 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 296.33 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 296.33 ล้านบาท

นายพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พรูเด้นท์ สยาม จำกัดเปิดเผยว่าภาวะตลาดหุ้นวานนี้ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยมีมูลค่าการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนยังมีความกังวลเกี่ยวกับการที่นักลงทุนต่างประเทศเทขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 11 วันทำการจำนวน 3.6 หมื่นล้านบาท ดังนั้นจึงส่งผลทำให้นักลงทุนชะลอดูทิศทางการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ขณะเดียวกันตลาดหุ้นสหรัฐได้หยุดทำการ

นอกจากนี้นักลงทุนควรที่จะจับตาดูการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งจะมีตลอดสัปดาห์นี้ ทั้งตัวเลขการว่างงานและรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะมีผลต่อภาวะเงินเฟ้อและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ

สำหรับกลยุทธ์ให้นักลงทุนคงสัดส่วนการถือเงินสดและการถือหุ้นในพอร์ตเหมือนเดิม แต่อาจจะปรับเปลี่ยนหุ้นที่ลงทุน โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และสามารถถือยาวได้ เช่นหุ้นกลุ่มโรงแรม,โรงพยาบาล

แนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ภายในระยะเวลา 1-2 วันนี้ แต่อาจจะมีการดีดกลับ เพราะอาจจะได้รับผลบวกจากปัจจัยภายใน ด้านตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยมีแนวรับ 710 จุดและแนวต้านที่ 730 จุด

นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศเริ่มชะลอการขายหุ้นออกมา สาเหตุที่มีมูลค่าการซื้อขายที่ลดลง เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายในลักษณะเก็งกำไร และการที่ค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าขึ้น ได้ส่งผลทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ได้รับผลกระทบบ้าง

ทั้งนี้ในระยะปานกลางตั้งแต่เดือนมิถุนายน-สิงหาคมจะมีมรสุมเข้ามาที่ประเทศเม็กซิโก คงจะทำให้เกิดสูญเสีญ และจะทำให้การผลิตน้ำมันดิบน้อยลง โดยได้แนะนำให้ทยอยซื้อหุ้นกลุ่มน้ำมัน เมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลดลง ส่วนกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้นจะต้องรอดูในวันที่ 7 มิถุนายนว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอาร์พี 14 วันหรือไม่การลงทุนของนักลงทุนนั้นควรที่จะถือเงินสดเพิ่มขึ้นเกินกว่า 50% ของพอร์ตการลงทุน เพราะมองว่าภายใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าอาจจะมีการแรงเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศออกมาอีก

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอสอีซี จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบสลับทั้งแดนบวกและแดนลบ ด้านมูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนรอปัจจัยใหม่ๆเข้ามา และมีความกังวลในเรื่องของตัวเลขเศรษฐกิจทั้งของไทยและสหรัฐ รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย

นอกจากนี้ นักลงทุนไม่กล้าที่จะเข้ามาซื้อเพราะกลัวการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ จากการที่ขายออกมามากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา (Oversold) ทำให้มีเก็งกำไรในรายตัวและรายกลุ่ม เช่นกลุ่มพลังงาน ที่ขยับขึ้นนำตลาด รวมถึงกลุ่มเหล็กและรับเหมาด้านค่าเงินบาทและน้ำมัน ไม่ค่อยมีผลต่อปัจจัยการลงทุนมากนัก

สำหรับแนวโน้มวันนี้ คาดว่าดัชนีอาจแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบและซึมๆ ซึ่งหากว่าดัชนีสามารถยืนอยู่เหนือแนวรับที่ระดับ 716จุด อาจสามารถปรับตัวขึ้นไปยืนอยู่ที่แนวต้านที่ระดับ 730 จุด โดยแนะนำให้นักลงทุนขายทำกำไร

**SETสิ้นปีแตะ795จุด

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าแนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นปี 49 ยังคงสามารถปิดที่ระดับ 795 จุดได้ แม้บรรยากาศการลงทุนในปัจจุบันจะยังคงไม่ดีนัก เพราะขาดปัจจัยบวกที่ชัดเจน และมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ แต่ยังคงมีความเป็นไปได้ที่ในระยะต่อไปจะมีกระแสเงินลงทุนไหลเข้ามาในเอเชียอีกรอบหนึ่งเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงต้นปี จากแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศขนาดใหญ่ในเอเชีย เช่น จีน น่าจะยังขยายตัวในระดับสูง เศรษฐกิจญี่ปุ่นน่าจะฟื้นตัวขึ้นจากปีก่อน ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแนวโน้มค่าเงินและตลาดหุ้นในภูมิภาคด้วย

ทั้งนี้แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไป อาจจะได้รับปัจจัยบวกจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีระดับราคาค่อนข้างต่ำ น่าจะเป็นโอกาสกลับเข้าซื้ออีกครั้ง

นอกจากนี้ ค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยยังคงต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ในภูมิภาค ในขณะที่มี Dividend Yield ในระดับที่น่าพอใจ น่าจะเป็นปัจจัยที่จูงใจให้ นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุน โดยค่า P/E ของตลาดหุ้นไทย ณ.สิ้นเดือน เมษายน อยู่ที่ประมาณ 9.4 ขณะที่ Dividend Yield ร้อยละ 4.17

สำหรับปัจจัยลบหลายประการที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยขณะนี้เป็นที่รับรู้ของนักลงทุนในตลาดหุ้น และสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นบ้างแล้ว หากว่าผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไม่รุนแรงเกินกว่าระดับที่คาดไว้ ก็น่าจะทำให้ความเสี่ยงจากการปรับตัวลดลงของดัชนีในอนาคต (Down side risk) เป็นไปอย่างจำกัด

นอกจากนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวที่ลดลงจาก 5.3% ในไตรมาสแรก มาที่ 3.5-4.5% ในไตรมาสที่เหลือ เป็นผลมาจากการชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน

ในส่วนปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล แผนการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ และกดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ

ขณะที่แนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ฯในช่วงที่ยังเหลือของปีนี้ที่ น่าจะเป็นไปในอัตราที่ลดลงจากช่วงที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเงินบาทแข็งค่าขึ้นไปค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆในภูมิภาค โดยแข็งค่าขึ้นไปแล้ว 5.8% นับตั้งแต่ต้นปี โดยคาดว่าเงินบาทน่าจะมีระดับปิด ณ สิ้นปี 2549 ที่ประมาณ 37.81 บาท/ดอลลาร์

สำหรับการเข้าซื้อขายเพื่อเก็งกำไรราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดล่วงหน้า ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก เช่น ทองคำ และทองแดง ทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้นเดือน พ.ค.49 นอกจากนั้น ราคาน้ำมันยังคงได้รับปัจจัยลบจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดจากโครงการนิวเคลียร์ในประเทศอิหร่าน ราคาที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของบริษัทจดทะเบียน และแนวโน้มผลกำไรของบริษัทในที่สุด

อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ โดยได้รับอานิสงส์จากส่วนหนึ่งของเงินลงทุนจากต่างประเทศที่คาดว่าจะไหลกลับเข้ามาสู่ภูมิภาคในรอบใหม่ก็ตาม แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ยังมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยคาดว่าดัชนีอาจจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการเคลื่อนย้ายเงินลงทุน โดยมีแรงซื้อกลับเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง สลับกับแรงขายเพื่อทำกำไรออกมาเป็นระยะๆ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us