Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2539








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2539
รังสรรค์กลับมาพร้อมไทม์แชริ่ง เขาจะเกิดได้อีกครั้งหรือไม่ ?             
โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
 


   
search resources

สาธรยูนิค
รังสรรค์ ต่อสุวรรณ




วันนี้…รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ยังเป็นคนเดิมที่พูดจาเสียงดังฟังชัด นิ้วนางข้าวซ้ายยังมีประกายเพชรวูบวาบเหมือนเคย และยังวาดฝันทำโครงการที่อยู่อาศัยครั้งใหญ่ ธุรกิจที่ลูกค้าต้องการความศรัทธาต่อเจ้าของโครงการเหลือเกิน รังสรรค์ จะสร้างมันใหม่ ได้ไหม ? อย่างไร ?

ภายหลังจากการเกิดปัญหาเรื่องคดีพัวพันกับการจ้างวานฆ่าประมาณ ชันซื่อ ประธานศาลฏีกา เมื่อต้นปี 2536 รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ประธานกรรมการบริษัทสาธรยูนิค เคยประกาศว่าจะขอล้างมือจากวงการอสังหาริมทรัพย์ด้วยความท้อแท้ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น

แต่ในที่สุดวันนี้ รังสรรค์จำต้องใส่สูทหิ้วกระเป๋าเอกสารโบเขื่องเดินเข้าออกศูนย์บัญชาการใหญ่ย่านสยามสแควร์เช่นเดิม การกลับมาของเขาจึงอาจจะมีเหตุผลสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1. เขาจำเป็นจะต้องสานต่อในโครงการต่าง ๆ เหล่านั้น และ 2. เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งหนึ่งว่า นักพัฒนาที่ดินอาชีพนั้นจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ที่กระทบต่อการทำธุรกิจได้หรือไม่ ?

"เรื่องที่ผ่านมา ผมไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาอะไรมากนัก เราเคยเริ่มจากศูนย์ให้เป็นบวกได้ เพราะฉะนั้นในขณะนี้มันจะเป็นจุดไหนก็แล้วแต่ มันก็ยังไม่ต่ำกว่าศูนย์ เราก็ยังสร้างได้อยู่ดี ผมเชื่อว่าให้เวลาหน่อยทุกอย่างจะดีขึ้น ผลงานและเสถียรภาพของงานบวกกับความตั้งใจและประสบการณ์ จะผลักดันให้ทุกอย่างดีขึ้น"

เป็นคำพูดที่ตอกย้ำความตั้งใจของเขา พร้อม ๆ กับประกาศเปิดตัวอีก 4 โครงการต้องใช้เงินลงทุนอีกไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท ระบบ "ไทม์แชริ่ง คอนโดมิเนียม" คือ กลยุทธ์การขายของ 4 โครงการที่รังสรรค์งัดออกมาใช้แข่งขันการขายกับกลุ่มอื่น ๆ เป็นการเปิดตัวโครงการครั้งใหญ่ที่กล้าสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจและท้าทายความคิดของอีกหลาย ๆ คน

ดูเหมือนว่า รังสรรค์จะมั่นใจในตัวเองและแนวความคิดใหม่เป็นที่สุด ไทม์ แชริ่งในความคิดของรังสรรค์ก็คือ การเอาระบบของคอนโดมิเนียม โรงแรม และไทม์แชริ่งมารวมกัน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงสุด

ที่มาของความคิดนี้เกิดขึ้นได้ เพราะต้องการแก้ปัญหาเรื่องค่าทรัพย์ส่วนกลางในระบบคอนโดมิเนียมที่เจ้าของห้องชุดจะต้องจ่ายทุกคนทุกเดือน ไม่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่ในคอนโดฯ นั้น ๆ ก็ตาม ซึ่งในคอนโดฯ ตากอากาศอาจจะต้องจ่ายกันเดือนละ 3,000 - 20,000 บาท แม้ลูกค้าจะเห็นถึงความจำเป็นในเรื่องนี้ เพราะถ้าไม่จ่ายเงินก็เท่ากับทำให้คอนโดฯ เสื่อมโทรม ขาดเงินว่าจ้างคนดูแลบำรุงรักษา แต่ทำอย่างไรที่ไม่ต้องให้ลูกค้าเสียเงินส่วนนี้ หรือเสียให้น้อยที่สุด คือ ปัญหาที่น่าจะมีทางออก

รังสรรค์ เล่าว่า ในคอนโดตระกูล "บีช" คือ ซิลเวอร์บีช พาร์คบีช และสกายบีชที่พัทยาของเขานั้น พบว่า วันเสาร์-อาทิตย์ จะมีคนมาพักเพียง 20% - 30% เท่านั้น และจะมีห้องว่างอยู่โดยตลอดประมาณ 70% - 80%

ตรงจุดนี้เองก็เลยมีความคิดว่า น่าจะเอาห้องที่ว่างตรงนี้มาใช้ประโยชน์ รายได้ส่วนหนึ่งเอามาเสียค่าทรัพย์ส่วนกลางให้นิติบุคคลอาคารชุดจัดการตามกฎหมาย ส่วนหนึ่งเป็นค่าว่าจ้างบริษัทที่บริหารโรงแรมใหญ่ ๆ เพื่อเป็นผู้ดูแลรักษาห้อง ในขณะเดียวกันก็หาที่สร้างโครงการใหม่ ๆ เพื่อให้โอกาสลูกค้าได้แลกเปลี่ยนไปพักได้อีก 4 - 5 แห่ง

ผลดีที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ 1. ลูกค้าสามารถที่จะซื้อโครงการได้ในราคาเดิมที่เคยซื้อ และได้กรรมสิทธิ์ของห้องตามระบบคอนโดมิเนียม 2. ไม่ต้องเสียค่าทรัพย์ส่วนกลาง แต่มีรายได้ส่วนหนึ่งที่มาว่าจ้างคนจัดการดูแลรักษาห้องชุด เช่นเดียวกับระบบโรงแรม 3. ได้ไปพักผ่อนที่อื่นได้ด้วยระบบของไทม์แชริ่ง

ความฝันของรังสรรค์ได้พรั่งพรูต่อไปอีกมากว่า ขณะนี้เขาเตรียมโครงการไว้ทั้งหมด 4 สถานที่ด้วยกัน คือ

โครงการแรก เริ่มที่ "กรีนวู้ดการ์เด้นท์ ตั้งอยู่ที่จังหวัดสระบุรี เนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ จะสร้างเป็นคอนโดมินเยมประมาณ 500 ยูนิต เน้นที่จะให้เป็นสวนป่าที่ร่มรื่น และมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายสำหรับวันหยุด เช่น กีฬาขี่ม้า จ็อกกิ้ง"

ที่ดินผืนนี้รังสรรค์กว้านซื้อไว้ในช่วงสนามกอล์ฟบูมเมื่อ 5 - 6 ปีที่แล้ว คราวนี้เขามีความคิดที่จะสร้างเป็นสนามกอล์ฟ แต่เมื่อสนามกอล์ฟเกิดขึ้นมากจนล้นตลาด โครงการนี้ถูกพับเก็บ มาเปิดใหม่อีกครั้งเป็นโครงการสวนเกษตรไฮเทคฯ แต่ต้องหยุดไปอีกครั้งด้วยสภาพตลาดที่ไม่อำนวยเช่นกัน จนมาลงตัวเป็นห้องชุดตากอากาศในระบบไทม์แชริ่งดังกล่าว

โครงการที่ 2 "โกลเด้นท์บีช รีสอร์ท" บนหาดน้ำริน อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เป็นคอนโดฯ ตากอากาศ 35 ชั้น เป็นโครงการที่ชะลอการเปิดมาหลายครั้งหลายคราเช่นกัน

โครงการที่ 3 คือ "ฉัตรเพชรทาวเวอร์" คอนโดมิเนียมพักอาศัยจำนวนกว่า 600 กว่าห้อง สูง 55 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนตก กรุงเทพฯ

และ 4 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัยอีกเช่นกันที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย โดยวางแผนไว้ว่า จะดึงน้ำพุร้อนมาอยู่ในสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ยาวประมาณ 60 - 70 เมตร

ทั้ง 3 โครงการนั้น รังสรรค์มีที่ดินและตัวโครงการเดิมที่วางแผนจะทำอยู่แล้ว แต่ที่เชียงใหม่นั้นเป็นเพียงแนวความคิดและความตั้งใจ ส่วนแปลงที่ดินยังไม่ได้ซื้อ เพียงแต่ได้มีการพูดจาทาบทามกับณรงค์ วงศ์วรรณ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินไว้แล้ว

"คุณณรงค์ กับอาจารย์รังสรรค์สนิทกันมาก อาจารย์เรียว่าพ่อ คงไม่น่ามีปัญหาในเรื่องที่ดินทำโครงการ" แหล่งข่าวรายหนึ่งในวงการที่ดินให้ความเห็น

สวนป่า ทะเล ศูนย์ธุรกิจ และบ่อน้ำพุร้อน คือ จุดขายในแต่ละทำเลที่เขาหวังว่า จะได้รับความสนใจจากลูกค้า ลูกค้าที่ซื้อโครงการใดโครงการหนึ่งจะสามารถหมุนเวียนไปพักอีก 3 โครงการที่เหลือได้ โดยจะเริ่มก่อสร้างและขายที่สระบุรีก่อน ซึ่งจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างและขายที่สระบุรีก่อน ซึ่งจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 2 ปี หลังจากนั้นโครงการอื่น ๆ จะทยอยเสร็จต่อเนื่องกัน

รังสรรค์ยังฝันต่อว่า คาดว่าเมื่อ 4 แห่งนี้เสร็จ แหล่งที่ 5, 6, 7, 8 คงต้องตามมาเรื่อย ๆ

นอกจากนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้คนชั้นกลางได้กรรมสิทธิ์ในระบบนี้มากขึ้น รังสรรค์จึงคิดหาวิธีการซื้อใหม่จากที่ 1 ห้องซื้อได้ 1 คน ได้เปลี่ยนไปเป็นมากกว่า 1 คน สูงสุด 36 คนต่อ 1 ห้องเฉลี่ยกันใช้ 12 วันต่อปี ซึ่งก็เพียงพอกับคนที่มีรายได้ไม่สูงโดยเสียเงินประมาณคนละ 5 หมื่นบาทผ่อนเดือนละ 2 พันบาทใช้เวลา 2 ปีซึ่งพอดีกับโครงการสร้างเสร็จ ด้วยวิธีนี้เขาคาดหวังว่าทำให้โครงการมีคนพักอาศัยจำนวนมากตลอดเวลา และในโครงการที่มีจำนวน 200 ห้องแทนที่จะมีเจ้าของเพียง 200 คนก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่านั้น

นี่คือที่มาคอนเซ็ปต์ ซื้อ 1 ได้ถึง 4 โดยผ่อนเพียงเดือนละ 2,000 บาท

มองย้อนกลับไปเมื่อช่วงธุรกิจคอนโดมิเนียมเฟื่องฟู จนล้นตลาดในช่วงปี 2533 - 2534 นั้น นักลงทุนหลายรายจึงพยายามฉีกแนวความคิดใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ เพื่อกระตุ้นยอดขาย และความอยู่รอดของโครงการ เช่น การที่ถาวร ตรีศิริพิศาล เคยพยายามที่จะสร้างระบบไทม์แชริ่งในรูปแบบของคอนโดฯ เชนมาใช้ ซึ่งลูกค้าสามารถไปพักในโครงการอื่น ๆ ของเจ้าของเดียวได้มาใช้เช่นกัน แต่ก็ดูเหมือนว่า ในที่สุดแนวความคิดพวกนี้ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จนักในปัจจุบัน

"คนไทยไม่ค่อยเข้าใจแนวความคิดระบบนี้ รวมทั้งการมีห้องพักของตัวเองแล้วแบ่งให้คนอื่นมาพักด้วยเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยนิยม" ถาวร ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าพ่อคอนโดฯ ในช่วงยุคทองของคอนโดให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการรายเดือน"

ปัจจุบัน แนวความคิดในเรื่องคอนโดฯ เชน ของถาวรถูกพับเก็บไปเรียบร้อยแล้ว เขามีเพียงโครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศโครงการเดิม ๆ ที่สร้างขึ้นเมื่อ 3 - 4 ปีก่อนประมาณ 3 - 4 โครงการเท่านั้นที่มีระบบเชนกันอยู่

อุปสรรคในการหวนคืนสู่สนามพัฒนาที่ดินครั้งใหม่ของรังสรรค์ จึงส่อเค้าของความยุ่งยากอยู่บ้างตรงที่เขาต้องมีทีมงานขายที่ชาญฉลาด เข้าใจถึงข้อดีในระบบดังกล่าว และสามารถชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจและตัดสินใจซื้อได้ รังสรรค์เองก็ยอมรับว่าทีมการขายเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ตัวเขาเองก็ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ กว่าที่จะอธิบายให้ทีมงานเข้าใจทะลุปรุโปร่ง วิธีการที่ดีที่สุดของเขาในขณะนี้ก็คือ ต้องอาศัยการขายโดยตรงปากต่อปาก ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มแรกก็คือ ลูกค้าเก่า ๆ ในโครงการคอนโดฯ ตากอากาศตระกูลบีชของเขา ซึ่งคนกลุ่มเหล่านี้จะเข้าใจถึงปัญหาของคอนโดมิเนียม และจะมีความเชื่อมั่นในตัวเขาระดับหนึ่ง

ประการต่อมาก็คือ เขาต้องเร่งสร้างทีมงานบริหารของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นมาช่วยโดยเร็วต้องยอมรับว่า การขายโครงการในระบบไทม์แชริ่งนั้น ต้องอาศัยความเชื่อใจต่อเจ้าของโครงการและตัวบริษัทอย่างมาก อย่างเช่น ของรังสรรค์เองโครงการเดียวที่อาจจะเป็นรูปเป็นร่างในขณะนี้มากที่สุดก็คือ โครงการที่สระบุรี ซึ่งกำลังเร่งงานดินและการปลูกสวนป่าในขณะที่อีก 3 โครงการเป็นเพียงโครงการสวยหรูในแผ่นกระดาษที่งานก่อสร้างบางแห่งยังไม่เริ่ม

สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ บ้านเราไม่มีกฎหมายของระบบไทม์แชริ่งรองรับ เมื่อเจ้าของโครงการสร้างได้ไม่ครบดังที่สัญญา หรือไม่สามารถบริหารระบบได้ดีอย่างที่พูดคุยไว ้ การเอาผิดกับเจ้าของโครงการ ก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถจัดการกันได้ง่าย ๆ

รังสรรค์เองก็เคยมีบทเรียนในเรื่องนี้ โดยถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงที่มีปัญหาในเรื่องคดีบริษัทซวดเซอย่างหนัก แทบจะหยุดทำงานไปเป็นปี มีลูกค้าพยายามโทรศัพท์มาขอเงินคืนตลอดเวลา ซึ่งเนเพราะว่าช่วงที่ผ่านมา รังสรรค์ทำงานโดยใช้ตัวเองเป็นจุดขาย เมื่อตัวเขามีปัญหา ลูกค้าจึงค่อนข้างหวาดหวั่นสูงกว่าบริษัทที่มีการทำงานเป็นทีม

พวงเพ็ญ วิบูลย์สวัสดิ์ น้องสาวรังสรรค์ ซึ่งเป็นน้องสะใภ้ของปัญญา ควรตระกูลแห่งปัญญากรุ๊ป คือ บุคคลที่เข้ามาแบกภาระในช่วงนั้น นับว่าเป็นความสามารถของเธอที่ค่อย ๆ แก้ไขปัญหาไปได้

วันนี้ พวงเพ็ญเป็นเพียงกรรมการท่านหนึ่งในบริษัทสาธรยูนีค เธอคืนอำนาจการบริหารทั้งหมดให้รังสรรค์ โดยขณะที่รังสรรค์มี อมรา สวัสดิ์เสวี เพื่อนของยินดี ผู้เป็นภรรยา เป็นผู้ช่วยที่เดินตามหลังไปไหนมาไหนด้วยในขณะนี้

อมรา ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นรองกรรมการผู้จัดการ ดูแลเรื่องการตลาดของบริษัท สาธรยูนีค จำกัด รับผิดชอบหลักในเรื่องงานขายโครงการต่าง ๆ เธอไม่ใช่คนใหม่ของที่นี่ เพราะเข้ามาร่วมงานกับรังสรรค์เมื่อประมาณปี 2534 โดยดูเรื่องการตลาดของสีลมพรีเซียสก่อนขายให้กลุ่มราศรี บัวเลิศ และยังไปช่วยงานให้ราศรีอยู่พักหนึ่ง เมื่อรังสรรค์กลับมาเธอก็มาช่วยงานต่อ

วันนี้ถึงเวลาแล้วที่รังสรรค์ต้องเปลี่ยนสไตล์การทำงานจากที่เคยมีตัวเขาเป็นจุดขาย เป็นองค์กรนำหน้าแทน

อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยตอกย้ำความเชื่อมั่นของลูกค้าให้คืนกลับมาโดยเร็วก็คือ การเคลียร์ภาพโครงการเก่าที่ยังค้างคาให้สะอาดหมดจด ซึ่งขณะนี้มีอยู่เพียง 2 โครงการ คือ โครงการสาธรยูนีค และโครงการบ้านสวนฉัตร ส่วนโครงการอื่น ๆ หลังจากเกิดปัญหาทางคดีนั้น ได้มีการขายโครงการไปแล้วถึง 3 โครงการ คือ 1. โครงการสีลม พรีเชียส ศูนย์อัญมณีมูลค่านับหมื่นล้านบาทบนถนนสีลม ซึ่งขายไปให้กับกลุ่มของราศรี บัวเลิศ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นโครงการรอยัลเจริญกรุง 2. โครงการบ้านฉัตรเพชร รัตนาธิเบศร์ และ 3. บ้านฉัตรเพชร รัชดา ซึ่งทั้ง 2 โครงการหลังนี้ได้เริ่มงานขายไปบ้างเล็กน้อย และได้คืนเงินดาวน์ให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งได้ขายที่ดินซึ่งเพียงแต่จ่ายเงินดาวน์ไว้ให้กับเสี่ยประทีป ตั้งมติธรรม แห่งบริษัทศุภาลัยไปแล้ว

ประทีบซื้อที่ดิน 2 แปลงนี้มาเพื่อสร้างโครงการศุภาวิลล์ รัตนาธิเบศร์ และศุภาวิลล์ รัชดาภิเษก เป็นทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด และเปิดขายไปเมื่อปลายปีที่แล้ว

กลยุทธ์ง่าย ๆ เฉือนอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตในครั้งนั้นของรังสรรค์ ทำให้ยังมีเงินพอที่จะวาดฝันในโครงการอื่น ๆ ดังกล่าว

ส่วนโครงการสาธรยูนีค ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมสูง 47 ชั้น จำนวนกว่า 600 ยูนิคนั้น เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2533 การก่อสร้างค่อนข้างล่าช้าเพราะมีผลกระทบกับเจ้าของที่ดินใกล้เคียง ช่วงเกิดปัญหาเรื่องคดีโครงการนี้ก่อสร้างไปเกินกว่า 70% แต่มีลูกค้าส่วนหนึ่งไม่ยอมจ่ายเงินดาวน์ต่อ

"ก็ค่อนข้างมีปัญหาเหมือนกันในโครงการนี้ แต่ผมเองก็ไม่อยากโทษลูกค้า ระยะแรกผมเลยต้องลงไปคุยกับลูกค้าว่า ถ้าเราเก็บเงินดาวน์ได้ไม่ครบ 40% บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ไทยเม็กซ์ ก็อาจจะไม่จ่ายเงินเงินทุนสนับสนุนเราต่อ ลูกค้าก็ดีเข้าใจเขาเองก็ไม่อยากเห็นโครงการล้ม"

ปัจจุบัน โครงการนี้กำลังก่อสร้างชั้นบนสุดซึ่งเป็นส่วนยอดโดมและคาดว่าจะสามารถโอนให้กับลูกค้าได้ในต้นปีหน้า เป็นโครงการเดียวที่ทำรายได้ให้กับรังสรรค์เป็นกอบเป็นกำขณะนี้

โครงการบ้านสวนฉัตรที่บางพลัด เป็นโครงการต่อไปที่รังสรรค์ต้องลงไปแก้ปัญหาการก่อสร้างที่ล่าช้า และลูกค้าไม่ยอมผ่อนดาวน์ต่อ ขณะนี้โครงการนี้อยู่ในระหว่างหยุดการก่อสร้าง

การเร่งสร้างบุคลากรองค์กรให้เข้มแข็ง ประกอบกับโครงการที่ลูกค้าเร่งเร้าเรื่องงานก่อสร้าง และแบงก์เองก็เร่งรัดในเรื่องของเงินเป็นสภาวะที่คงเหนื่อยไม่น้อยทีเดียว

แม้รังสรรค์พยายามแก้ไขปัญหาของเขาอย่างดีที่สุดแล้ว แต่การเริ่มใหม่จากฐานที่เป็นศูนย์ในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่อำนาจสักเท่าไหร่ในตอนนี้ เป็นเรื่องยากกว่าเดิมหลายเท่า

ดังนั้น ยอดขายโครงการใหม่ของรังสรรค์จะเป็นตัวตัดสินว่าวงการนี้พร้อมที่จะยอมรับเขาและจินตนาการของเขาอีกครั้งหรือไม่ ?

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us