Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 พฤษภาคม 2549
สมาคมนักวิเคราะห์ชี้ดัชนียืน800จุดกำไรบริษัทจดทะเบียนลดเหลือ2.9%             
 


   
search resources

สมบัติ นราวุฒิชัย
Investment
Stock Exchange




สมาคมนักวิเคราะห์ ยังเชื่อดัชนีปีนี้ยืน 800 จุด เหตุ นักลงทนต่างชาติยังคงลงทุนในตลาดหุ้นไทย แม้ช่วงนี้มีการขายทำกำไรจากที่ซื้อสะสมมาตั้งแต่ปี48 -P/E ต่ำเพียง 8.4 เท่า พร้อมปรับลดจีดีพีเหลือ 4.3 % กำไรบจ. 2.9% แนะนำลงทุนกลุ่มพลังงาน สื่อสาร ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แนะลดการลงทุน กลุ่มอสังหาฯปิโตรเคมี การเงิน

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลสรุปจากการสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ ถึงแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงเดือนพ.ค.-ธ.ค.49 รวมถึงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นปัจจัยบวกและปัจจัยลบแนวโน้มอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ และผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน กลุ่มธุรกิจที่แนะนำลงทุนและกลุ่มที่ควรลดการลงทุน หุ้นสามอันดับแรกที่แนะนำลงทุน โดยมีนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ให้ความเห็น 19 แห่ง

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกรวมทั้งไทย มีการปรับตัวลดลงอย่างหนัก จากปัจจัยลบต่างๆ นักวิเคราะห์มีการปรับลดประมาณการตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้ลดลงเหลือ 4.3% จากเมื่อ 3 ก.พ.49 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 4.9% และคาดผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนจะโต 2.9% ลดลง จากสำรวจครั้งที่แล้วที่
4.8% เนื่องจากเศรษฐกิจมีการชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของกำไรบริษัทจดทะเบียนมีการปรับตัวลดลง จากต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ได้คาดการณ์ดุลบัญชีเดินสะพัดเฉลี่ยจะขาดดุลลดลงเหลือ 2.6 พันล้านดอลลาร์เหรียญสหรัฐ จากเดิมที่คาดว่าจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ 3.3 พันล้านดอลลาร์เหรียญสหรัฐ และดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 800 จุด ลดลงจากครั้งที่ผ่านมาที่คาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 808 โดยมีนักวิเคราะห์ประมาณการสูงสุดที่ 860 จุด ต่ำสุด 720 จุด

ด้านค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจากที่คาดไว้เดิมโดยอัตราแลกเปลี่ยระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐเฉลี่ยที่ 38.3 บาท มีผู้คาดค่าเงินบาทอ่อนที่สุด 40 บาท และค่าเงินแข็งสุดที่ 36.5 บาท และมองว่า อัตราดอกเบี้ย RP 14 วัน มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยคาดว่าจะอยู่ที่ 5.3% จากเดิม 4.8% และมีอัตราสูงสุดคือ 6% ต่ำสุดที่ 4.75%

นายสมบัติ กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้น คือ ปัจจัยทางการเมืองซึ่งได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งมีผู้ตอบ 18.4% รองมาเป็นการสะสมของเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศยังเป็นบวก ซึ่งมีผู้ตอบคิดเป็น 14.3% และอันดับ3 เรื่อง ภาวะการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งการที่อัตราดอกเบี้ยน่าจะปรับตัวขึ้นถึงสุดสูงสุดแล้ว โดยมีผู้ตอบ 8.2% เท่ากัน

ส่วนปัจจัยลบนักวิเคราะห์มองว่า ปัจจัยราคาน้ำมันที่ยังผันผวนและทรงตัวในระดับสูง จำนวน 23.6% ซึ่งปัจจัยการเมืองเป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่สุด รองลงมาเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งมีผลตอบ 20% และยังมีปัจจัยอื่นที่มีผู้ตอบจำนวนใกล้เคียงกันและไม่มากนัก เช่น ค่าเงินบาท อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ลดลง อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์ แนะนำลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ 3 อันดับแรก คือ พลังงาน สื่อสาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยหุ้นเด่นที่สุด คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)หรือ PTT รองลงมา คือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือ BBL บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เป็นต้น

ส่วนกลุ่มที่ควรลดการลงทุน คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ปิโตรเคมี และธุรกิจการเงิน เช่น บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH บริษัท โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ GBX บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD บริษัทไอทีวี จำกัด (มหาชน) หรือ ITV

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์แนะนำการลงทุนในปี 2549 ว่า ระยะสั้นตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก รวมทั้งปัจจัยลบอื่นๆ และคาดว่าตลาดหุ้นมีโฮกาสปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 3-4 เนื่องจาก ปัจจัยทางการเมืองน่าจะคลี่คลายดีขึ้น เงินลงทุนไหลเข้าจากต่างประเทศรวมถึงบรัทจดทะเบียนสามารถที่ปรับตัวรับมือกับราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นได้

"นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน โดยอาจลดพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น เพื่อรอความชัดเจนของปัจจัยทางการเมือง ภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย จากนั้นทยอยซื้อโดยเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี การขยายตัวสม่ำเสมอ ได้รับผลกระทบน้อย จากความผันผวนของราคาน้ำมัน ดอกเบี้ย การชะลอตัวของการบริโภคและสถานการณ์ทางการเมือง"

นายสมบัติ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าปัจจัยที่จะทำให้ดัชนีปีนี้อยู่ที่ 800 จุด ได้ เนื่องจาก นักลงทุนต่างประเทศยังคงลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศมีการทำกำไรจากที่มีการซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และราคาหุ้นต่ำ โดยขณะนี้ P/E ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 8.4 เท่า และจากปัจจัยการเมืองได้มีการผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งระยะสั้นอาจะมีความคลุมเครือการเลือกตั้ง การจัดตั้งรัฐบาลใหม่   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us