กระเบื้องตราเพชรปรับกลยุทธ์ดันยอดขาย เหตุเป็นช่วงนอกฤดูขาย ตัดใจให้เครดิตดีลเลอร์เพิ่มเป็น 120 วัน จาก 30-45 วัน ตั้งเป้ายอดขายโต 10%
จากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ซึ่งถือเป็นนอกฤดูขายวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ผู้ผลิตยังต้องเดินหน้าสร้างยอดขายต่อไป เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
กระเบื้องตราเพชร เป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายหนึ่งที่ต้องปรับตัว เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน ด้วยการนำกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มมาใช้ในกลุ่มดีลเลอร์ หรือตัวแทนจำหน่าย เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบริษัทและตัวแทนจำหน่าย รวมถึงลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มตัวแทนจำหน่ายที่มียอดขายไม่น้อยกว่าเดือนละ 2 ล้านบาทต่อเดือน
สาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการตลาด บริษัทกระเบื้องหลังคาตราเพชร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นอกเหนือจากการนำกลยุทธ์ซีอาร์เอ็มมาใช้แล้ว บริษัทยังต้องการให้ตัวแทนจำหน่ายสต็อกสินค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย และเพิ่มเครดิตให้นานขึ้น จากเดิมที่ให้เครดิตเพียง 30-45 วัน เป็น 120 วัน ซึ่งจะมีการคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายที่เข้าร่วมโครงการอย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยจะเน้นตัวแทนจำหน่ายที่เกรดเอ ทั้งในแง่จำนวนสินค้าที่สั่งและประวัติทางการเงิน ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายกลุ่มดังกล่าวประมาณ 35 รายเพิ่มขึ้นจากปี2548 ประมาณ 10 กว่าราย
สำหรับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นนั้น บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ แม้ว่าจะมีการส่งออกสินค้า เพราะบริษัทได้คำนวณค่าเงินบาทก่อนส่งสินค่าให้ตัวแทนจำหน่าย และได้เปรียบจากการนำเข้าวัตถุดิบจากยุโรปโดยในปีนี้คาดว่าสัดส่วนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจาก 5 % เป็น 10 % และจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 % ในปี 2550
สาธิต กล่าวว่า การส่งออกบริษัทได้รับการตอบรับจากประเทศแถบเอเชียเป็นอย่างดี โดยมีตลาดหลักอยู่ที่กัมพูชา ,ลาวและเวียดนาม นอกจากนี้ยังได้เริ่มขยายการส่งออกไปยังเกาหลีและจีน เมื่อปี 2548 รวมถึงญี่ปุ่นที่ได้ส่งสินค้าประเภทกระเบื้องคอนกรีตเข้าไปบ้างแล้ว โดยสินค้าที่ส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นกระเบื้องแผ่นเรียบ,ผนัง,หลังคาและผนังเพดาน
ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการขายผ่านตัวแทนถึง 95 % เป็นหลัก เพราะสามารถเข้าถึงผู้รับเหมาและลูกค้าได้โดยตรง อีก 5 % เป็นการขายผ่านโครงการ อาทิ ศุภาลัย ปริญสิริ บริษัทบีทูบี จำกัด บริษัท รอยัลเฮาส์รับสร้างบ้าน และบริษัทเอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)หรือ AP โดยตั้งเป้ายอดขายเติบโตขึ้น 10% หรือคิดเป็น 2,200 ล้านบาท จากที่ปีที่ผ่านมา มียอดขาย 2,108.02 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกมีรายได้รวม 594.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 77.88 ล้านบาท
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตปีละ 4.5 แสนตัน และอยู่ระหว่างการผลิตเพิ่มจากโรงงานผลิตกระเบื้องคอนกรีตกับไม้ฝาอีก 50,000 ตัน โดย 40,000 ตัน เป็นผนังและหลังคา อีก10,000 ตัน เป็นไม้ฝา ส่วนตลาดแชร์ไม้ฝาในปีนี้อยู่ที่24% จากเดิน 16% โดยกระเบื้องคอนกรีตคาดปีนี้โต 20 % จากไตรมาส 1 เป็น 17 – 18 %
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวสินค้าใหม่ภายใต้แบรนด์เจียระไน ซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตจากปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ เยื่อกระดาษ ใยสังเคราะห์ และส่วนผสมอื่นประเภทเดียวกับกระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ เป็นการผลิตแบบGreen Technologyโดยมีสินค้าในกลุ่ม อาทิ กระเบื้องเจียระไน แผ่นผนังเจียระไน ไม้ระแนง และไม้เชิงชายเจียระไน ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทมีเครื่องหมายการค้าแล้ว คือ ตราเพชร ตราหลังคาและตราอดามัส โดยผลิตภัณฑ์ของบริษัท สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก คือ กระเบื้องไฟเบอร์ซีเมนต์ กระเบื้องคอนกรีต ไม้ฝาหรือไม้สังเคราะห์ และผลิตภัณฑ์สินค้าเจียระไน คาดว่าจะได้การตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค
|