*เมื่อการเมืองเริ่มคลี่คลาย ผู้ซื้อเริ่มชินกับอัตราดอกเบี้ยและน้ำมันแพง
*ผู้ประกอบการแห่เปิดตัวโครงการใหม่ 26 แห่ง ในเดือนเดียว
* ทาวน์เฮาส์ครองแชมป์เปิดตัวสูงสุด ตามด้วยบ้านเดี่ยว
*ราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยสูงขึ้นเป็น 3.4 ล้านบาท จากเดิม 3 ล้านบาท ส่วนหน่วยขายที่มียอดสูงสุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท
จากความไม่แน่นอนทางการเมือง ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 70 เหรียญต่อบาร์เรล รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ปรับอย่างไม่มีท่าทีที่จะหยุดนิ่ง ประกอบกับกำลังซื้อถดถอย ทำให้ผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงทุกเดือน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาทุกอย่างเริ่มได้รับการคลี่คลายลง ทั้งการเมืองที่เริ่มผ่อนคลายความตึงเครียด ราคาน้ำมันที่มีเสถียรภาพแต่ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มมีแนวโน้มที่จะไม่ปรับสูงขึ้นมากกว่าที่เคยคาดการณ์ เห็นได้จากสัญญาณรัฐบาลที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกมาบอกว่า จะพยายามคุมอัตราดอกเบี้ยไม่ให้เกิน 2 หลัก หรือจะพยายามคงไว้ที่ไม่เกิน 8-9%
ภาวะการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะทำให้ผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจในการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ ที่แม้ว่าจะเติบโตต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปี
ดังนั้น ในเดือนเม.ย.จึงไม่น่าแปลกใจว่า มรการดเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นมากกว่าเดือนที่ผ่านมา บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส รายงานสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประจำเดือนเม.ย. 2549 ว่าในเดือนนี้มียอดการเปิดโครงการใหม่มากกว่าเดือนก่อน โดยมีจำนวน 26 โครงการ รวมทั้งสิ้น 4,707 หน่วย เพิ่มขึ้น 117 หน่วย หรือประมาณ 3% เนื่องจากเดือนที่ผ่านมามีการเปิดโครงการที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์ และอาคารชุดระดับราคาปานกลางเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกลุ่มที่อยู่อาศัยจำนวน 25 โครงการ และโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่น ๆ 1 โครงการ
ทาวน์เฮาส์แชมป์เปิดตัวสูงสุด
โดยอสังหาริมทรัพย์ที่มีจำนวนหน่วยขายมากที่สุด คือ ทาวน์เฮาส์ จำนวน 1,532 หน่วย รองลงมา คือ บ้านเดี่ยว จำนวน 1,379 หน่วย อาคารชุด จำนวน 1,103 หน่วย บ้านแฝด จำนวน 328 หน่วย อสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ จำนวน 276 หน่วย ที่ดินจัดสรร 76 หน่วย อาคารพาณิชย์ 13 หน่วย
ในส่วนของมูลค่าโครงการโดยรวมที่เปิดขายในเดือนนี้มีมูลค่า 16,452 ล้านบาท สูงกว่าเดือนที่ผ่านมาจำนวน 2,438 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 17% จากเดือนที่แล้ว โดยในเดือนนี้บ้านเดี่ยวยังคงมีมูลค่าการพัฒนาสูงสุด ซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงถึง 6,426 ล้านบาท หรือประมาณ 39% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด รองมาคือประเภทอาคารชุดซึ่งมีมูลค่าโครงการจำนวน 5,359 ล้านบาท หรือประมาณ 33% ของมูลค่าทั้งหมด เนื่องจากในเดือนนี้อาคารชุดที่เปิดจำนวน 1 ใน 3 ของการเปิดขายทั้งหมดเป็นอาคารชุดที่มีระดับราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ในเดือนนี้พบว่าราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยสูงขึ้น คิดเป็น 3.4 ล้านบาทต่อหน่วย จากเดือนที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ยเพียง 3 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากจำนวนหน่วยขายที่มีราคา 3 ล้านบาทขึ้นไปสูงถึง 43% ของหน่วยขายทั้งหมด โดยหน่วยขายที่มียอดสูงสุด คือ ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จำนวน 2,679 หน่วย คิดเป็น 57% รองลงมา คือ ระดับราคาตั้งแต่ 3-5 ล้านบาท จำนวน 1,339 หน่วย คิดเป็น 28%
ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 15% จะเป็นหน่วยขายที่มีระดับราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป โดยรวมแล้ว จะพบว่ามีจำนวนหน่วยขายที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีอยู่จำนวนหน่วยขายมากที่สุด แต่มีมูลค่ารวมกันเพียง 19% ของมูลค่าทั้งหมดเท่านั้น หรือจำนวน 3,076 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 16,452 ล้านบาท
สำหรับมูลค่าที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาท มีมูลค่ารวมกันประมาณ 35% ของมูลค่าทั้งหมด หรือ จำนวน 5,718 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 16,452 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 47% เป็นหน่วยขายที่มีระดับราคาเกิน 5 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนหน่วยอยู่เพียง 689 หน่วย หรือประมาณ 15% ของหน่วยขายทั้งหมดเท่านั้น แต่มีมูลค่าโครงการสูงถึง 47% ของมูลค่าทั้งหมด หรือจำนวน 7,658 ล้านบาท จากมูลค่ารวม 16,452 ล้านบาท ซึ่งราคาเฉลี่ยของหน่วยขายที่มีระดับราคาเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไปมีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยสูงถึง 11.114 ล้านบาท
ในด้านทำเลที่ตั้ง พบว่ามีจำนวน 3 โครงการเท่านั้น ที่เปิดตัวใหม่ และตั้งอยู่ในเขตใจกลางเมือง ซึ่งในเดือนนี้โครงการส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเขตต่อเมือง (intermediate area) กรุงเทพชั้นกลางมีจำนวนมากถึง 9 แห่ง โดยเฉพาะพื้นที่ทางด้านทิศเหนือของกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะบริเวณตั้งแต่ รามอินทรา, วัชรพล, และบริเวณถนนวงแหวนตะวันออก ซึ่งใกล้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นอกจากนี้ก็ยังมีการกระจายตัวอยู่ทางฝั่งตะวันตกบริเวณเพชรเกษม ถนนจอมทอง เป็นต้นเนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้มีระบบโครงข่ายการคมนาคมที่ค่อนข้างพร้อมสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวก และในอนาคตจะมีระบบขนส่งมวลชนเปิดใช้ จึงมีการเปิดตัวโครงการเป็นจำนวนมาก และส่วนที่เหลือจำนวน 13 โครงการ จะตั้งอยู่บริเวณกรุงเทพชั้นนอก เช่น บางใหญ่, บางบัวทอง, วัดศรีวารีน้อย และถนนเลียบวารี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต
|