Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน24 พฤษภาคม 2549
ผังเมืองใหม่บีบจัดสรรล้มทาวน์เฮาส์KCรับอานิสงส์สต๊อกเก่าป้อนลูกค้า1.8พันยูนิต             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)

   
search resources

เค.ซี. พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.
อภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล
Real Estate




เสือปืนไว"เค.ซี.ฯ"ปรับกลยุทธ์พัฒนาโครงการ เพิ่มสัดส่วนทาวน์เฮาส์เป็น35% จากเดิม 20% หลังผังเมืองใหม่ที่กทม.ประกาศใช้เป็นพิษ ระบุข้อกำหนดระยะถอยร่นบีบจัดสรรหน้าใหม่-เก่าล้มแผนพัฒนาทาวน์เฮาส์ เหตุพื้นที่พัฒนาไม่พอต้องปรับแผนโครงการใหม่ เชื่อซับพลายทาวน์เอาส์ใหม่หายไปเยอะ ขณะที่จัดสรรที่มีสต็อกเดิมเร่งทำยอดขาย ยอมรับพิษการเมืองทำยอดขายไตรมาสแรกต่ำกว่าเป้า มั่นใจตั้งแต่ไตรมาส2ยอดขายเพิ่มต่อเนื่อง เพราะมีสต็อกทาวน์เฮาส์รองรับลูกค้ากว่า 2,000 ล้านบาท

นายอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ KC เปิดเผยจากสถานการณ์การปรับขึ้นของราคาน้ำมัน ดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นอีกส่งผลกระทบต่อการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากเดิม และทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง มีส่วนอย่างมากต่อการเลือกซื้อบ้านและที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค โดยสังเกตจากในช่วงปีที่ผ่านมาลูกค้าหันมาซื้อที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮาส์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสามารถแทรกอยู่รอยต่อในเมืองได้ และมีข้อดีในเรื่องช่วยลดต้นทุนการเดินทางเข้าสู่ย่านธุรกิจได้มาก ประกอบกับในช่วงต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาการประกาศผังเมืองใหม่ของกรุงเทพฯ ทำให้การพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์จะมีจำนวนลดลงในช่วงต่อไปเพราะติดข้อกำหนดของ ผังเมืองใหม่

ดังนั้น บริษัทจึงได้ปรับแผนเพิ่มสัดส่วนในการพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์เพิ่มขึ้น จากเดิมที่ในปี48 ที่ผ่านมาบริษัทมีสัดส่วนในการพัฒนาทาวน์เฮาส์ 20%และบ้านเดี่ยว80% โดยในปี49 นี้บริษัทได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาทาวน์เฮาส์เป็น 35% และบ้านเดี่ยว 65% ซึ่งจากการปรับสัดส่วนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของบริษัท ทำให้สอดคล้องกับความต้องการ(ดีมานด์)ในตลาดทาวน์เฮาส์ที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันจำนวนโครงการทาวน์เฮาส์ที่เปิดใหม่ก็มีจำนวนลดลง เพราะถูกข้อกำหนดของผังเมืองใหม่บังคับ ซึ่งคาดว่าการลดลงของจำนวนโครงการทาวน์เฮาส์ในตลาดจะส่งผลดีต่อยอดขายของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังมากขึ้น

"ปัญหาในเรื่องการเมือง ราคาน้ำมัน และดอกเบี้ย เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถในการควบคุมของผู้ประกอบการ แต่ เค.ซี.ฯ ก็ยังได้รับประโยชน์จากการประกาศใช้ผังเมืองใหม่ของกทม. ที่มีข้อกำหนดในเรื่องระยะถอยร่นของโครงการมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการทาวน์เฮาส์ ที่กำลังจะพัฒนาโครงการใหม่ออกมาต้องมีการปรับผังโครงการใหม่ หรือชะลอการเปิดโครงการออกไป บางโครงการถูกข้อกำหนดดังกล่าวจนทำให้ไม่สามารถพัฒนาโครงการต่อได้ ในขณะที่ เค.ซี.ฯ มีข้อได้เปรียบ เพราะมีสต็อกสินค้า และโครงการที่เปิดขายอยู่แล้วในปัจจุบัน ถึง 3 โครงการ หรือมีสินค้ารองรับลูกค้าได้ถึง 1,800 หน่วย มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท "นายอภิสิทธิ์ กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 บริษัทมียอดรายได้รวม 245.66 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 17.62% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 48 ซึ่งมีรายได้รวม 298.14 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 35.14 ล้านบาท สาเหตุที่ยอดขายของบริษัทในไตรมาสแรกลดลง เนื่องจากผลกระทบราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวสูงขึ้นและภาวะด้านการเมือง ที่ส่งผลให้เกิดการชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาดที่อยู่อาศัยออกไป รวมถึงปัญหาการเข้มงวดปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน ทำให้ลูกค้าส่วนหนึ่งกู้ไม่ผ่าน ทำให้บริษัทเสียลูกค้าไปจำนวนหนึ่ง

ทั้งนี้ แม้ว่ายอดขายจะลดลงแต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก เนื่องจากเค.ซี.ฯยังสามารถรักษาสัดส่วนต้นทุนการผลิตและอัตราการเติบโตของกำไรเบื้องต้นให้อยู่ในระดับที่บริษัทวางไว้ได้ โดยมีอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38.65% และมีอัตราการเติบโตของกำไรสิทธิที่ 17.62% ซึ่งถือว่าอัตรากำไรดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบันตลาดยังมีปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค แต่บริษัทเชื่อมั่นที่จะมียอดรับรู้รายได้จากการขายอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้มียอดขายรอรับรู้รายได้ในมือประมาณ 900 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพิ่มมาจากยอดขายในไตรมาสแรก ซึ่งยอดรวมทั้งหมดสามารถแบ่งเป็น ยอดขายในส่วนของบ้านเดี่ยว 700 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์อีก 200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป หลักๆจะมาจากโครงการทาวน์เฮาส์ โดยตลอดทั้งปี ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ 2,200 ล้านบาท แต่จากผลกระทบด้านการเมืองทำให้ยอดขายที่อยู่อาศัยในตลาดชะลอตัวลง ดังนั้นคาดว่ายอดขายในปีนี้จะปรับตัวลดลงจากเป้าหมายที่วางไว้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us