|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บทพิสูจน์ "ชินคอร์ป" โตได้จากนโยบายรัฐบาลไทยรักไทย กำไรไตรมาสแรกสะท้อนไร้เงาทักษิณทรุดทันที แถมสถานการณ์การเมืองชัดเจนพรรคแตก หากกลับมาเป็นรัฐบาลไม่ได้กระทบกำไรหนัก
ผลการดำเนินการไตรมาสแรกของปี 2549 ของบริษัทในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น หลังจากผู้ถือหุ้นตระกูลชินวัตรขายให้กับบริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด เมื่อ 23 มกราคม 2549 โดยทั้ง 5 บริษัทที่อยู่ภายใต้ผู้ถือหุ้นรายใหม่ที่มีเทมาเส็ก โฮลดิ้งส์ จากสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นทางอ้อม ภาพรวมมีกำไรลดลง 826 ล้านบาทหรือลดลง 9.8%
สิ่งที่น่าสนใจคือการปรับลดลงของกำไรสุทธิเกือบทุกบริษัท เกิดขึ้นหลังจากการขายหุ้นของกลุ่มชินวัตรให้กับเทมาเส็กของสิงคโปร์ และในช่วง 3 เดือนนั้นรัฐบาลไทยรักไทยของทักษิณ ชินวัตร ถูกถล่มอย่างหนัก แถมการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ถูกศาลตัดสินแล้วว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ขณะที่การกำหนดวันเลือกตั้งครั้งใหม่จากคณะกรรมการการเลือกตั้งในวันที่ 22 ตุลาคมนี้ ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อสมาชิกพรรคไทยรักไทยขึ้นมาทันที เริ่มมีการทยอยลาออกจากพรรคกันต่อเนื่อง เพราะไม่ติดล็อก 90 วันเหมือนการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
โตเพราะนโยบายเอื้อ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าผลการดำเนินงานของกลุ่มชิน คอร์ป หรือ SHIN ที่ลดลงนอกจากเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจแล้ว ยังมีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กระแสความไม่พอใจในตัวผู้นำรัฐบาลก็มีผลต่อภาพรวมของกำไรในชิน คอร์ป เนื่องจากตัวชิน คอร์ป มีลักษณะเป็นโฮลดิ้งคอมปานี ที่มีรายได้หลักจากการถือหุ้นในบริษัทลูกต่าง ๆ
ชิน คอร์ป ให้เหตุผลว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1 ปี 2549 ลดลงลดลงจากไตรมาสเดียวกันในปี 2548 ร้อยละ 10.2 จาก จำนวน 2,479 ล้านบาทเหลือ 2,226 ล้านบาท เนื่องจากส่วนแบ่งผลกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลง
เริ่มจากบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC กำไรลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการปรับอัตราผลประโยชน์ตอบแทนรายปีที่จ่ายให้ ทีโอที ในส่วนของรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทโพสต์เพดจากร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 30 ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 4 ปี 2548 กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทเท่ากับ 5,290 ล้านบาทลดลงร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2548
บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SATTEL ขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากต้นทุนค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์รวมถึงค่าตัดจำหน่ายต้นทุนทางการเงินโครงการไอพีสตาร์ และดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น
ส่วน ไอทีวี(ITV) รายได้รวมไตรมาส 1 ปี 2549 ลดลง 12.1% และ 12.5% จากไตรมาส 4 ปี 2548 และไตรมาส 1 ปี 2548 ตามลำดับ สาเหตุจากการชะลอการใช้งบโฆษณาของลูกค้า Agency ที่ต้องการทราบผลการเปลี่ยนแปลงของ Rating จากการปรับผังรายการใหม่ดังกล่าวข้างต้น และสภาวะแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจสังคมและการเมือง ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาสนี้ มีกำไรสุทธิ 103 ล้านบาทและลดลง 58 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากสาเหตุการลดลงของรายได้ของบริษัทและมีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.09 บาท
มีเพียงบริษัทเดียวที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นคือ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน) หรือ CSL กำไรเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากธุรกิจอินเทอร์เน็ต ซึ่งบริษัทเน้นกลุ่มลูกค้าองค์กรมากขึ้นภายใต้การบริการที่มีคุณภาพ และธุรกิจสื่อโฆษณาผ่านสมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์และธุรกิจที่ให้บริการข้อมูลด้วยเสียงปัจจุบันมีการปรับปรุงใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ต้องการค้นหาสินค้าและบริการ
ทรท.ไม่กลับมาวุ่นแน่
สถานการณ์ทางการเมืองขณะนี้ ต้องรอดูว่าจะมี ส.ส.ของไทยรักไทยออกไปหาพรรคใหม่หรือพรรคอื่นมากน้อยเพียงใด ต้องมองภาพให้ออกว่ามติของศาลที่ออกมาเพื่อแก้วิกฤติของประเทศนั้น คำตัดสินหลายกรณีไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของพรรคไทยรักไทย แต่สัญญาณนี้ไม่ใช่เรื่องดีกับไทยรักไทย ยิ่ง ส.ส.ไหลออกมาก โอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลก็น้อยลงทุกขณะ
ที่ผ่านมาธุรกิจแห่งได้ประโยชน์จากการขับเคลื่อนจากนโยบายของรัฐบาลไทยรักไทยแทบทั้งสิ้น ส่วนใครจะได้มากหรือน้อยขึ้นกับว่านโยบายเหล่านั้นจะไปเอื้อกับกิจการประเภทใด กลุ่มชิน คอร์ปก็ได้อานิสงส์ไปไม่น้อย
เมื่อไทยรักไทยเรื่องเสื่อมลง ปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า กระแสต่อต้านตัวผู้นำและธุรกิจในเครือ ส่งผลให้การดำเนินงานลดลงตามไปด้วยและสะท้อนมายังราคาหุ้นของบริษัทต่าง ๆ คาดว่าในไตรมาส 2 ของปีผลการดำเนินงานคงดีขึ้นกว่าไตรมาสแรกไม่มากนัก โดยเฉพาะตัวทำรายได้หลักอย่าง ADVANC ที่ต้องสู้สงครามราคากับคู่แข่งรายอื่น กำไรคงต้องลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ว่าขณะนี้ฝ่ายวิจัยหลายแห่งยังคงให้ความไว้วางใจหุ้นในกลุ่มนี้ ยกเว้นหุ้นไอทีวีที่ยังไม่ชัดเจนว่าผลอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองจะออกมาอย่างไร แต่ในเชิงกลยุทธ์แล้วการไม่กลับมาของพรรคไทยรักไทยจะเป็นปัจจัยลบสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ ที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มนี้ได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลค่อนข้างมาก
ปัญหาที่ยังคงตีความกันในเรื่องสัดส่วนของนักลงทุนต่างประเทศว่า เป็นไปตามข้อกำหนดของบริษัทหรือตามสัญญาสัมปทานหรือไม่ เชื่อว่าอีกไม่นานคงเริ่มมีคำวินิจฉัยจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกมามากขึ้น รวมถึงเรื่องพื้นที่จอดดาวเทียม สัมปทานมือถือต่าง ๆ หากไม่ใช่ไทยรักไทยเป็นรัฐบาลแล้ว เรื่องเหล่านี้มีสิทธิถูกหยิบยกขึ้นมารวมถึงอาจมีการแก้ไขเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม
|
|
|
|
|