Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน22 พฤษภาคม 2549
มิสทินปรับกลยุทธ์รับยุคน้ำมันแพงเล็งเข้าดิสเคานต์สโตร์             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (มิสทิน) จำกัด

   
search resources

เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย), บจก.
Marketing
Cosmetics
ดนัย ดีโรจนวงศ์




มิสทินยิ้มรับยอดขายไตรมาสแรกเติบโต 11% หลังปรับกลยุทธ์รับมือยุคน้ำมันแพง เผยปีนี้ทุ่มงบตลาดสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 450 ล้านบาทอัดกิจกรรมส่งเสริมการขายแบบเต็มสูบ พร้อมปรับราคาสินค้าบางรายการขึ้นจาก 39 บาทเป็น 59 บาท เล็งขยายช่องทางขายใหม่สู่ซูเปอร์สโตร์และดิสเคานต์สโตร์ ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีโต 11-13% พร้อมรุกหนักตลาดส่งออก โดยเฉพาะพม่าที่มีศักยภาพมากสุด คาดปีนี้ยอดขายโตสูง 40%

มิสทินทุ่มงบตลาดปีนี้กว่า 450 ล้านบาท

นายดนัย ดีโรจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย ) จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงชั้นเดียว “มิสทิน” เปิดเผยว่า ยอดรายได้ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาของบริษัทฯมีอัตราการการเติบโต 11% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากบริษัทฯได้มีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดบางอย่างเพื่อให้เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่กำลังประสบอยู่ อาทิ การปลดล็อคค่าสมัครฟรีของสาวมิสทิน จากเดิมต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมเข้า 200 บาท

ขณะที่แผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทฯเตรียมใช้งบการตลาดสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 450 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว10% โดยงบการตลาดจะถูกใช้ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งการที่บริษัทฯใช้งบตลาดมาก เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะไม่สดใส

“ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดี คือ จะทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและหันมาใช้สินค้าที่มีราคาประหยัด ซึ่งตรงนี้ส่งผลให้คนสนใจสมัครเข้าร่วมกับมิสทินมากขึ้น คาดว่าจะมีจำนวนสมาชิกใหม่เพิ่ม 20% จากปัจจุบันสมาชิกของมิสทินมีประมาณ 7 แสนราย ขณะที่สิ้นปีคาดว่าจำนวนสมาชิกจะเพิ่มเป็น 8 แสนราย ส่วนข้อเสีย คือ สมาชิกจะทำงานหนักขึ้นและยอดการสั่งซื้อสินค้าจะมีน้อยลง”

นอกจากนี้ในปีนี้มิสทินยังมีการเพิ่มยอดกำลังซื้อต่อคนหรือการขายสินค้าในราคาที่สูงขึ้นจากปีที่แล้ว อาทิ จากเดิมราคาสินค้าลิปสติกและมาสคาร่าราคา 39 บาท ปรับเป็น 59 –139 บาท เป็นต้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์มิสทินปีนี้จะมีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเมกอัพที่คนยังนิยมซื้อสินค้าอยู่

ด้านช่องทางการจำหน่ายสินค้ามิสทินปีนี้บริษัทฯมีแผนขยายช่องทางใหม่ๆไปสู่ซูเปอร์ สโตร์และดิสเคานต์สโตร์ รวมถึงร้านบู้ทส์ คาดว่าจะได้เห็นในช่วงปลายปีนี้ โดยปัจจุบันสัดส่วนช่องทางดังกล่าวนี้คิดเป็น 5% และปีหน้าคาดว่าสัดส่วนจะเพิ่มถึงเท่าตัว ปัจจุบันสินค้ามิสทินมีวางขายในคอนวีเนียน สโตร์แล้ว อาทิ เซเว่น อีเลฟเว่น, แฟมมิลี่มาร์ทและ108 ชอป

สำหรับยอดรายได้สิ้นปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตขึ้น 11-13% จากปีที่แล้วที่มียอดรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยการเติบโตมาจากการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ ช่วงกลางปีนี้จะมีแคมเปญใหม่ หรือการปรับลดต้นทุนในองค์กร รวมถึงการทำตลาดให้กับแคตตาล็อคฟลายเดย์ ซึ่งจำหน่ายสินค้าที่นอกเหนือจากแบรนด์มิสทิน โดยปีที่ผ่านมาฟลายเดย์มีอัตราการเติบโตถึง20%

นายดนัย กล่าวถึงภาพรวมของตลาดขายตรงว่า ปีนี้ตลาดทรงๆ มองว่าธุรกิจที่เข้ามาอยู่ก่อนจะได้เปรียบ ส่วนผู้เล่นรายใหม่ (New Comer) อาจจะต้องคิดหนักหน่อย สำหรับมูลค่าตลาดรวมขายตรงคาดการณ์ว่ามีประมาณ 26,000 ล้านบาทและมีอัตราการเติบโต 5-6% แบ่งเป็นตลาดคอสเมติกในระบบขายตรงชั้นเดียว คิดเป็นมูลค่า 12,000 ล้านบาท โดยมิสทินมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 6,000 ล้านบาท

ส่วนการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัทเบทเตอร์เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขณะนี้มีการทำตลาดที่ตลาดอินโดจีน เช่น พม่า, กัมพูชา,ฟิลิปปินส์ รวมถึงมีที่ปากีสถานและกำลังเล็งเข้าตลาดอินเดีย ปีนี้บริษัทฯคาดว่ายอดรายได้จะเติบโต 35-40% เนื่องจากตลาดหลักอย่างพม่ามีอัตราการเติบโตสูง ทั้งนี้ยอดรายได้ตรงส่วนนี้ปัจจุบันมีประมาณ 250 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดพม่า 100 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us