เสื้อผ้าและเครื่องสำอาง เป็นตัวทำรายได้หลักให้กับบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล
คอสเมติคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ICC ทว่าขณะนี้ธุรกิจนี้กำลังเผชิญปัญหาจากการปรับลดอัตราภาษี
ICC จะปรับกลยุทธ์อย่างไร หรือจะหันสู่เส้นทางสายใหม่ตามที่ประกาศไว้อย่างเต็มตัว
แต่ว่าทิศทางไหนที่เหมาะสมกับ ICC มากที่สุด
ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย
ผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
หากพลิกดูยอดรายได้ของบริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สินค้าที่ทำรายได้ร่วม 80% ให้กับบริษัทก็คือ เสื้อผ้า
และเครื่องสำอาง โดยเฉพาะเครื่องสำอางยี่ห้อเพี้ยซ ชุดชั้นในวาโก้ และเครื่องแต่งกายบุรุษยี่ห้อแอร์โรว์
โดยเพี้ยซสามารถทำยอดขายรายได้กว่าหนึ่งพันล้านบาทต่อปี และวาโก้มียอดขายสูงถึงปีละเกือบสามพันล้านบาท
ความสำเร็จของสินค้าเหล่านี้ ดูได้จากยอดรายได้ของบริษัทเพียงไม่กี่สิบล้านบาทใน
20-30 ปีก่อนขยับมาเป็นกว่าหมื่นล้านบาทในปัจจุบัน และนับเป็นบริษัทที่สร้างรายได้มากที่สุดแห่งหนึ่งให้กับเครือสหกรุ๊ป
ซึ่งมีรายได้รวมต่อปีประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท ขณะที่ทุนจดทะเบียนเรียกชำระของบริษัทมีแค่
290 ล้านบาท
ภาพรวมที่ผ่านมา ICC ยังสามารถครองส่วนแบ่งตลาดอันดับต้น ๆ ของตลาดเสื้อผ้าและเครื่องสำอางเมืองไทยไว้อย่างเหนียวแน่น
กระนั้นก็ตามนับจากนี้ไปเส้นทางดังกล่าวอาจจะไม่สดใสอีกแล้ว
จากการที่รัฐบาลประกาศปรับลดอัตราภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย 13 รายการเมื่อเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนที่ผ่านมา
ทำให้ผู้ประกอบการต่างวิตกกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโอกาสให้สินค้าจากต่างประเทศมีราคาต่ำลงและนั่นก็หมายถึงการเข้ามาตีตลาดได้มากขึ้นเช่นกัน
โดยรัฐบาลประกาศปรับอัตราภาษีนำเข้าสิ่งทอในส่วนสินค้าสำเร็จรูปเหลือ 30%
จากเดิม 45% และวัตถุดิบจำพวกสีย้อมฝ้าย โพลิเมอร์และอะไหล่สิ่งทอลดเหลือ
0-5% จากเดิม 5-30% สำหรับน้ำหอมและเครื่องสำอางมีอัตราภาษีสินค้าสำเร็จรูปเหลือ
20% ส่วนภาษีวัตถุดิบเหลือ 5% จากเดิมที่มีอัตราภาษี 40% และ 10-45% ตามลำดับ
การปรับลดภาษีครั้งนี้ถือเป็นการซักซ้อมความพร้อมของผู้ประกอบการในประเทศก่อนที่จะเจอศึกหนักกับการค้าเสรีในปี
2543 ในฐานะผู้ประกอบการรายใหญ่ของสิ่งทอและเครื่องสำอางในประเทศ ICC ย่อมหลีกเลี่ยงผลกระทบนี้ไม่พ้น
บุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ ICC กล่าวว่า
"เราก็ได้รับผลกระทบ แต่ไม่มากนัก เพราะนำเข้าสินค้าได้ แต่อย่างไรก็ตาม
สินค้านำเข้าส่วนใหญ่ของเราก็ไม่ได้แชร์ยอดขายสักเท่าไหร่ สินค้าที่ขายดีก็ยังเป็นสินค้าที่เราผลิตได้ในประเทศ"
เขาชี้ว่า สินค้าที่ผลิตในประเทศมีจุดแข็งก็คือ บริษัทสามารถตั้งราคาได้อย่างเหมาะสม
และสามารถปรับปรุงคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับควาต้องการของผู้บริโภคได้ง่ายและรวดเร็ว
ทว่า ข้อได้เปรียบดังกล่าวอาจจะไม่มีความสำคัญอีกต่อไป เพราะเมื่อสินค้าระดับเกรดเอจากต่างประเทศมีราคาต่ำลง
ลูกค้ากลุ่มระดับกลางถึงบนอันเป็นกลุ่มเดียวกับ ICC ก็อาจจะเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศ
เรื่องนี้ บุญเกียรติค่อนข้างหนักใจไม่น้อย เพราะเขารู้ว่าแท้จริงแล้ว ICC
ไม่ได้ต่อสู้กับสินค้าจากต่างประเทศ แต่กำลังต่อสู้กับรสนิยมของผู้บริโภคในประเทศ
"สิ่งที่เราเสียเปรียบสินค้านำเข้าก็คือ คนไทยนิยมสินค้านำเข้ามากกว่า
ของนอกจะน่าซื้อกว่าของในประเทศ แม้ว่าคุณภาพไม่ได้ดีกว่าและราคาแพงกว่าก็ตาม"
เขากล่าวอย่างปลง ๆ
นอกจากนี้ ICC ยังอาจถูกตีตลาดจากสินค้าระดับล่าง ซึ่งใช้กลยุทธ์ราคาในการดึงลูกค้า
"สินค้าจากจีน เกาหลี จะมีราคาถูกมาก คนซื้อก็เลยไม่สนใจคุณภาพเท่าไหร่
เพราะถือว่า ใช้แล้วไม่ดีก็ทิ้งได้ พวกนี้จะกระทบต่อสินค้าที่มีแบรนด์เนมซึ่งผลิตในประเทศจำพวกที่ขายตามดีพาร์ตเมนต์สโตร์หรือร้านค้าเฉพาะต่าง
ๆ"
ไม่เพียงแค่เรื่องภาษี ปัญหาที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะก็คือ ค่าแรงงาน
ซึ่งนับวันจะถีบตัวสูงขึ้น อันทำให้ธุรกิจต้องใช้แรงงานมาก (LABOR INTENSIVE)
เช่น ธุรกิจผลิตสิ่งทอ เครื่องสำอาง ต้องมีต้นทุนสูงขึ้น
ว่าไปแล้ว ICC มองเห็นปัญหานี้มานานและวางแผนแก้ไขด้วยการขยายฐานการผลิตเครื่องสำอางและเสื้อผ้าไปยังต่างประเทศตั้งแต่
4-5 ปีที่แล้ว โดยรุกเข้าไปในประเทศจีน และอินโดจีน เช่น ตั้งโรงงานผลิตเครื่องสำอางและชุดชั้นในที่จีนตอนใต้
ร่วมทุนกับบริษัทอิโตคินตั้งโรงงานผลิตเสื้อผ้าในประเทศจีน
กระนั้นก็ตาม ฐานการผลิตในต่างประเทศก็ยังไม่เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ในปัจจุบัน
เพราะ "เป็นโรงงานที่ผลิตเพื่อป้อนตลาดที่ประเทศจีนเท่านั้น แล้วเราก็ยังไม่ได้ทำอย่างเต็มที่ด้วย
จะไปหวังจากตรงนั้นไม่ได้"
ลดต้นทุน
กลยุทธ์รับการค้าเสรี
การแก้ไขปัญหาที่กำลังเผชิญในขณะนี้ และเพื่อรับการค้าเสรีในระยะยาว ICC
เลือกวิธีลดต้นทุนการผลิต ซึ่งมีหลักการกว้าง ๆ ว่า "ประการแรก คือ
ลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สอง คือ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และสาม คือ ต้องรักษาคุณภาพดีเอาไว้
ทั้งนี้ พวกค่าใช้จ่ายจะทำให้ต้นทุนเราสูงขึ้น เช่น พวกเงินเดือน เราคงจะขึ้นเงินเดือนเยอะไม่ได้
จะซื้ออะไรสะเปะสะปะไม่ได้ ก็คือต้องกินน้อยใช้น้อยลง เพราะเมื่อฝรั่งกดราคามา
ถ้าเราดึงราคาขึ้นไป มันก็ผิดกฎ เราต้องตั้งราคาต่ำกว่าเขาหน่อยหนึ่ง แต่คุณภาพต้องเท่าหรือดีกว่าเขา"
บุญเกียรติอธิบาย
เขามองว่า การลดต้นทุนการผลิตดังกล่าว ไม่เป็นปัญหาในทางปฏิบัติ เพราะในการผลิตเสื้อผ้า
บริษัทใช้วัตถุดิบที่ผลิตได้ในประเทศเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งยังมีบริษัทในเครือป้อนวัตถุดิบให้ด้วย
เช่น ผ้าด้าย ทำให้ควบคุมต้นทุนการผลิตได้ง่าย เช่นเดียวกับเครื่องสำอางแม้ว่ามีวัตถุดิบจำพวกเคมีภัณฑ์ที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
แต่อัตราภาษีก็ปรับลดลงแล้ว ส่วนพวกบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ มีบริษัทในเครือเป็นผู้ผลิตทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะควบคุมต้นทุนได้
อย่างไรก็ดี อาจจะเป็นงานที่ "หิน" สำหรับ ICC ไม่น้อย เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ต้นทุนสินค้าของบริษัทอยู่ในระดับใกล้เคียงกันมาตลอด โดยต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดในระหว่างปี
2534-2538 อยู่ที่ประมาณ 88-90% และอัตรากำไรหลังภาษี 7.12-8.25%
นอกเหนือจากการลดต้นทุนการผลิต ICC ได้เลิกผลิตสินค้าที่สร้างรายได้น้อยและต้นทุนสูง
แต่จะหันมานำเข้าสินค้าอื่นแทนหรือสินค้าเดียวกันแต่นำเข้ามีราคาถูกกว่า
ดังเช่นธุรกิจเครื่องสำอาง
จินตนา เฉลิมชัยกิจ ผู้จัดการฝ่ายเครื่องสำอางและน้ำหอม ฝ่ายสินค้า H กล่าวว่า
จะหันไปเน้นการนำเข้าในสินค้าประเภท MAKE UP SKIN CARE และน้ำหอม เนื่องจากถูกกว่าผลิตในประเทศ
โดยจะนำสินค้าไลน์ใหม่เข้ามาเสริมตลาดอีกพร้อมกับจะถอนสินค้าบางตัวออกไป
อย่างไรก็ดี สำหรับการขยายตลาดส่งออกสินค้า ซึ่งขณะนี้ ICC มีตลาดหลักอยู่ในแถบยุโรป
โดยเป็นการผลิตขายในชื่อยี่ห้อของต่างประเทศ บุญเกียรติยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกมีคุณภาพสูงและราคาแพง แต่ตลาดยุโรปในตอนนี้ภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่
ทำให้มีผลกระทบต่อยอดขายบริษัท
ส่วนตลาดอื่น ๆ ICC มีตัวแทนจำหน่ายสินค้าอยู่ในฮ่องกง สิงคโปร์ และลาว
ซึ่งจะเป็นสินค้าเสื้อผ้า และเครื่องสำอางที่จำหน่ายในชื่อยี่ห้อของ ICC
สู่ธุรกิจไอที
งานที่ยังต้องรอ
จากการแข่งขันที่เข้มข้นของธุรกิจเดิมและมองถึงความอยู่รอดในระยะยาว ICC
เองก็ต้องรุกเข้าสู่ธุรกิจอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ตามจุดยืนที่บุณยสิทธิ์
โชควัฒนา ประธานสหกรุ๊ป ประกาศไว้เมื่อกลางปี 2538
"ตอนนี้ ICC กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ 4 คือ พร้อมที่จะรุกธุรกิจทั่วไป
ไม่จำกัดอยู่แค่เครื่องสำอางและเสื้อผ้าเหมือนสมัยก่อน และยังต้องเป็นการรุกทั้งในและต่างประเทศ"
ยุคที่ 4 เริ่มนับหนึ่งในปี 2538 อันเป็นปีที่ ICC ย่างเข้าปีที่ 31
ธุรกิจใหม่ที่ ไอ.ซี.ซี.ต้องการก้าวเข้าไป ได้แก่ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไฮเทคโนโลยี
ซึ่งจุดเน้นหลัก คือ คอมพิวเตอร์ และโทรคมนาคม นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจอาหารและเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ
ซึ่งถือเป็นแผนงานหลักในปีนี้ทีเดียว
แม้ว่าทั้งสามธุรกิจเป็นสินค้าที่ ICC ไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักในช่วงที่ผ่านมา
และยังไม่มีความชำนาญเพียงพอ ทว่า ICC ก็ตั้งความหวังกับธุรกิจดังกล่าวไว้สูงไม่น้อย
ในด้านธุรกิจอาหาร ผู้บริหารรายหนึ่ง กล่าวว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า ICC จะต้องเป็นผู้นำในตลาดอาหาร
ซึ่งขณะนี้ บริษัทเป็นเจ้าของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ชื่อ โยชิโนยา ซึ่งซื้อลิขสิทธิ์จากบริษัท
โยชิโนยา ดี แอนด์ ซี จากญี่ปุ่น ปัจจุบันร้านโยชิโนยามี 5 สาขา โดย 4 สาขา
อยู่ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และอีก 1 สาขา เปิดเป็นร้าน STAND ALONE และคาดว่าจะขยายสาขาให้ได้ปีละ
4 สาขา ภายใน 3 ปีจะมี 12 สาขา และต้องมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ พงศักดิ์ ปวุตติกุล ผู้จัดการฝ่ายอาหารและภัตตาคาร เคยกล่าวไว้เมื่อต้นปีว่า
จะรุกธุรกิจอาหารโดยจะซื้อแฟรนไชส์ร้านอาหารจากต่างประเทศ หรือเข้าเทกโอเวอร์กิจการต่าง
ๆ ตลอดจนสร้างยี่ห้อขึ้นมาเอง อีกทั้งยังมีแผนรุกในธุรกิจขนมขบเคี้ยวอีกด้วย
เช่นเดียวกับธุรกิจจำหน่ายสินค้าผ่านตู้ขายสินค้าอัตโนมัตินั้น ICC เริ่มนำเข้ามาเมื่อปี
2535 และตั้งความหวังไว้ว่า ในท้ายที่สุด ICC จะเป็นผู้ผลิตสินค้านี้เอง
ซึ่งบุญเกียรติ กล่าวว่า
"ตอนนี้ยังไม่ได้ผลิตเอง แต่ทุกอย่างอยู่ในแผนงานระยะยาว ถ้าแค่เอาตู้เข้ามาขาย
มันก็ไม่กำไรหรอก เราต้องทำให้ครบวงจร ซึ่งจะทำเมื่อไรก็ต้องดูศักยภาพว่าไปได้แค่ไหน"
ในปีนี้ ICC ตั้งเป้าว่า จะเพิ่มตู้จำหน่ายสินค้าอีก 1,500 ตู้ ซึ่งใช้เงินลงทุนประมาณ
150 ล้านบาท คาดว่าจะทำให้มีตู้สินค้าเพิ่มเป็น 6-8 พันตู้
ส่วนสินค้าไฮเทคโนโลยี ICC เริ่มจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อซัมซุงเมื่อประมาณ
10 ปีก่อน แต่เพิ่งเข้ามาลงทุนอย่างเต็มตัวเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ด้วยการเข้าถือหุ้นในบริษัท
ไทยซัมซุง อีเลคโทรนิคส์ จำกัด ในสัดส่วน 19.50% ของทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท
ซึ่งนอกจากจะมีแผนผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อป้อนตลาดในประเทศแล้ว ผู้บริหารยังหวังให้เป็นฐานส่งออกไปยังแถบอินโดจีนและพม่า
จากฐานธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ICC ได้รุกสู่ธุรกิจคอมพิวเตอร์ โดยเป็นตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ยี่ห้อซัมซุง
ตั้งแต่ปี 2534 และต่อมาในปี 2535 ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ ซิลิคอน
กราฟฟิค จากประเทศสหรัฐอเมริกา
4-5 ปีที่ผ่านมากับธุรกิจสายคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคมนั้น ดร.สำราญ ภูอนันตานนท์
กรรมการรองผู้จัดการยอมรับว่า ICC ยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยวัดได้จากตัวเงินที่เข้าสู่บริษัทเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดรวม
ปัญหาสำคัญ คือ ขาดบุคลากรที่มีความชำนาญงานด้านนี้ เนื่องจากธรรมชาติของธุรกิจยังห่างไกลจากธุรกิจเครื่องสำอาง
เสื้อผ้า และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ยิ่งนัก
"เราเคยทำแต่ขายโน่นขายนี่ เก็บเล็กผสมน้อย แต่ต้องมาขี่จรวด เราปรับยาก
ปัญหาของเราไม่ใช่ขาดคน แต่บางทีในใจเรายังไม่ยอมรับว่าเราเข้าสู่ธุรกิจนี้"
บุญเกียรติกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม ปรัชญาการทำงานของกลุ่มสหกรุ๊ปที่ยึดถือกันมาโดยตลอดก็คือ
"ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ " ยังเป็นตัวผลักดันให้ ICC มุ่งหวังที่จะเดินในเส้นทางธุรกิจโทรคมนาคม
ทว่าบุญเกียรติก็ยอมรับว่าคงทำตามลำพังไม่ได้
"เราต้องหาผู้ร่วมทุนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญตลาดนี้ และรู้ลู่ทางในการทำธุรกิจเป็นอย่างดี
เพราะลำพังเราจะเข้าไปเองก็คงไม่ไหว"
ขณะนี้ ICC ยังไม่มีพันธมิตรอย่างชัดเจน แต่กลุ่มบริษัทในเครือสหพัฒนฯ ได้ร่วมมือกับบริษัทสหวิริยา
โอเอ จำกัด (มหาชน) จัดตั้งบริษัท ไอ.ที.ซิตี้ ซึ่งจะทำธุรกิจร้านซูเปอร์สโตร์สำหรับจำหน่ายในสินค้าคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์โทรคมนาคม
โดยร้านแรกจะเปิดในช่วงปลายปีนี้ ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่ ICC จะสานธุรกิจโทรคมนาคมร่วมกับกลุ่มสหวิริยา
เปลี่ยนผู้นำรับทิศทางใหม่
การขยายขอบเขตของธุรกิจออกไปเรียกร้องให้ ICC ต้องปรับตัวเองขนานใหญ่ เพราะหัวใจสำคัญที่จะฟันฝ่าได้ในเส้นทางสายนี้
คือ การตลาดที่เฉียบคมประสานเข้ากับการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งหมายรวมถึงตัวผู้บริหารในสายงานนี้ด้วย
แต่เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมของ ICC แล้ว แม้จะมีประสบการณ์ด้านการตลาดมาอย่างโชกโชน
และมีฐานเงินทุนที่แกร่งพอตัว ทว่ายังขาดแคลนผู้บริหารที่จะมาเชื่อมงานสองส่วนเข้าด้วยกัน
เพราะที่ผ่านมา ผู้บริหาร ICC ล้วนสร้างตัวเองมาจากงานขายและการผลิตแทบทั้งสิ้น
ในที่สุด บุณยสิทธิ์ จึงแก้ไขปัญหาด้วยการยอมสละตำแหน่งประธานกรรมการให้กับ
ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย และลดตัวไปนั่งในตำแหน่งรองประธานกรรมการ
บุณยสิทธิ์ ให้เหตุผลในการเลือก ดร.สม เข้ามาสานงานว่า เพราะ ดร.สม เป็นคนเก่ง
มีความรอบรู้ และประสบการณ์ทั้งด้านการตลาดและการเงินอย่างหาคนเปรียบได้ยาก
เขาคิดว่า ดร.สมจะเข้ามาเติมส่วนที่ขาดหายไปจาก ICC ให้เต็ม ซึ่งนั่นจะทำให้โครงการใหม่
ๆ ของ ICC จะเดินหน้าไปได้อย่างถูกทิศทาง
นอกจากการปรับเปลี่ยนผู้บริหารก่อนหน้านั้น ICC ได้ปรับสายธุรกิจโดยได้แบ่งสินค้าที่มีมากกว่า
500 ยี่ห้อ ออกเป็น 12 ฝ่ายย่อยด้วยกัน จัดเรียงตามตัวอักษร A-M ซึ่งจะครอบคลุมสินค้าทั้ง
8 หมวด คือ กลุ่มเครื่องสำอางและน้ำหอม กลุ่มเสื้อผ้าบุรุษ กลุ่มเสื้อผ้าสตรี
กลุ่มเสื้อผ้าเด็ก กลุ่มเครื่องหนัง กลุ่มเครื่องใช้ภายในบ้าน กลุ่มอาหาร
และสินค้าอีเล็กทรอนิกส์
รวมทั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ICC วางแผนพัฒนาระบบข้อมูลใหม่ โดยใช้เงินลงทุนร่วม
200 กว่าล้านบาท ตามแผนมีการพัฒนาฐานข้อมูล 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกเป็นระบบการติดต่อระหว่างบริษัทกับลูกค้า
โดยใช้ระบบที่เรียกว่า "ออนไลน์พีโอเอส" ซึ่งจะติดตั้งให้กับห้างร้านที่จำหน่ายสินค้าของบริษัท
ส่วนที่สอง เป็นระบบฐานข้อมูลที่ใช้ติดต่อระหว่างบริษัทในเครือสหกรุ๊ป เรียกว่า
ระบบสหกรุ๊ปอินเตอร์เน็ต โดยสหกรุ๊ปได้สมัครเป็นสมาชิกของเนคเท็คโดยตรง ส่วนสุดท้าย
คือ ระบบ E-MAIL หรือ IT NETWORKING ซึ่งใช้ติดต่อระหว่างหน่วยงานภายในบริษัท
ฐานข้อมูลจากทั้งสามส่วน ทำให้ ICC สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างบริษัทกับลูกค้า
บริษัทในเครือ และหน่วยงานต่าง ๆ ภายในได้อย่างสะดวก รวดเร็ว รวมทั้งรับรู้ถึงภาวะตลาดและการขาย
ตลอดจนปัญหาที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปรับแผนงานให้ทันต่อการแข่งขัน
และเหมาะกับการบริหารงานยุคใหม่ที่ต้องตัดสินใจอย่างเฉียบคมและฉับไว
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ICC ยังตัดใจทิ้งชื่อ "อินเตอร์เนชั่นแนล
คอสเมติคส์" ที่ใช้มาร่วม 30 ปี โดยเปลี่ยนมาเป็น "ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล"
เพื่อต้องการลบภาพของความเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางและสินค้าอุปโภคและบริโภค
เพราะคำว่า "คอสเมติคส์" พาให้คนทั่วไปคิดว่า ทำแต่ธุรกิจเครื่องสำอางอยู่นั่นเอง
แต่กับชื่อใหม่ ผู้บริหารของบริษัทมั่นใจว่า จะช่วยเพิ่มภาพลักษณ์ "ความเป็นสากล"
ให้กับบริษัทและเหมาะสมกับธุรกิจที่บริษัทจะก้าวไปข้างหน้า
นอกจากการปรับตัวภายใน ICC ยังได้ปรับกลยุทธ์ระดับองค์กร ด้วยการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
"โตแล้วแตก" ที่แนบแน่นกับเครือสหกรุ๊ปมาโดยตลอดให้เข้ากับสถานการณ์มากขึ้น
"โตแล้วแตกยังใช้อยู่ เพียงแต่ต้องมีการตีความการแตกใหม่ เป็นการแตกอย่างมีเงื่อนไขและเหตุผล
เช่นเดียวกับการแตกเซลล์ ไม่ใช่การแตกแบบสะเปะสะปะเหมือนระเบิดแล้วแตกตูมอีกต่อไป"
บุญเกียรติย้ำ
เช่นเดียวกับการแข่งขันกันเองในกลุ่มที่ครั้งหนึ่งผู้บริหารสหกรุ๊ปมองว่า
เป็นกลยุทธ์ในการกีดกันคู่แข่งขัน และช่วยเพิ่มส่วนครองตลาดให้กับสินค้าในเครือ
ทว่า ในขณะนี้บุญเกียรติเน้นว่าต้องแข่งขันกันเองน้อยลง และแทนที่ด้วยการรวมพลังกันมากขึ้น
เพราะการรวมตัวกันจะช่วยลดต้นทุนหรือเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม จากก้าวเดินของ ICC ในปัจจุบัน ก็ไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า
บริษัทจะให้ความสำคัญกับธุรกิจใดในอนาคต โดยบุญเกียรติชี้ชัดว่า
"เรื่องนี้ตอบยาก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อาจจะเป็นไปได้ที่รายได้จากธุรกิจอื่นอาจจะมากขึ้น
แต่ก็บอกไม่ได้ว่ารายได้จากธุรกิจเดิมจะลดลงหรือไม่ เพราะคอนซูเมอร์โปรดักส์
เป็นตลาดที่ประเมินได้ยาก เนื่องจากมีคู่แข่งจำนวนมหาศาล"
กระนั้น ไม่ว่าอย่างไร ICC ยังต้องอาศัยฐานธุรกิจเดิมในการก้าวไปสู่ธุรกิจใหม่
"การเติบโตในอนาคตก็คงใช้ผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันเป็นหัวหอก แต่คงเน้นช่องทางการจัดจำหน่ายแบบอื่น
ด้วยวิธีการอื่น ๆ มากขึ้น อีกอย่าง คือ จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในไลน์ของผลิตภัณฑ์เดิม
บวกกับการไปลงทุนร่วมกับธุรกิจอย่างอื่น"
นั่นก็คือ การพยายามประสานธุรกิจใหม่ให้เข้ากับธุรกิจเดิม ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควรทีเดียว