หุ้นร้อน IEC ทำตลาดป่วน โบรก ระบุรูปแบบการปั่นหุ้นเปลี่ยนจากสร้างข่าวดันราคาในปีก่อน เป็นกลยุทธ์ใหม่ซื้อหุ้นรีแฮปโก้เปลี่ยนผู้บริหาร ขณะที่เบื้องหลังหุ้นร้อนจากกลุ่ม "ลาภวิสุทธิสิน"จาก PICNI-EWC-EMC เปลี่ยนมือมาสู่กลุ่ม "เตชะอุบล" ใน IEC -ASL และ TFD วงในชี้ "ชนะชัย-พายัพ"อยู่เบื้องหลัง แนะจับตา IEC รอจังหวะซื้อกิจการบริษัทก่อสร้างในตลาดฯ ขณะเดียวกันโบรกยังเชื่อมือ กลต.ตามเช็คบิล "คนปั่นหุ้น" ชี้ตลาดซบเล่นหุ้นกลุ่ม "รพ.-ลีสซิ่ง"ไม่เสี่ยง
ปี 49 ขาใหญ่ปั่นหุ้นเน้นรีแฮปโก้
สถานการณ์ตลาดหุ้นที่ว่าแย่อันเนื่องมาจากผลของวิกฤตการณ์น้ำมันและสถานการณ์ไฟใต้ของปีก่อนยังจัดว่าอยู่ในขั้นดีกว่าปีนี้ที่เข้าขั้นวิกฤตรุนแรง โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่อึมครึม และจะยังอึมครึมไปอีกกว่า 5 เดือนจนกว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่เสร็จสิ้น ในวันที่ 22 ตุลาคม ที่จะถึงนี้ตามที่มีการกำหนดไว้
แต่ถึงแม้ตลาดหุ้นจะซบเซาไปมากเพียงใด หุ้นร้อนแบบขึ้นเร็ว-ลงเร็วก็ยังมีให้เห็น ในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะหุ้น IEC ที่รู้กันดีว่าเป็นหุ้นร้อนมาแรงสำหรับปีนี้ แถมเป็นของแข็งที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์หรือ กลต. ยังต้องยอม...
นักวิเคราะห์จาก ของบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า หุ้นร้อน หรือหุ้นเก็งกำไรในปีนี้มีลักษณะที่แตกต่างไปจากการเก็งกำไรหุ้นในปี 2548 ที่ผ่านมา โดยในปี 2548 ลักษณะการเล่นหุ้นและการทำราคาหุ้นเก็งกำไรนั้น จะเน้นการนำเสนอข่าวสารความเคลื่อนไหวของบริษัทนั้น ๆ ในการปั่นกระแสให้ราคาหุ้นขึ้น ขณะที่หุ้นร้อนปีนี้เน้นไปที่การเข้าไปฟื้นฟูหุ้นกลุ่มรีแฮปโก้
โดยในปี 2548 หุ้นที่ดูจะเป็นที่เลื่องลือมากสุดก็เริ่มจากหุ้น N-PARK หรือบริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด(มหาชน) โดยกลยุทธ์ของผู้บริหาร N-PARK ในการทำราคาหุ้นนั้นก็เป็นที่น่าจับตามอง มีการเสนอแผนการลงทุน และการดำเนินธุรกิจหลายครั้ง หลายช่วง และแต่ละช่วงราคาหุ้นก็ดีดตัวขึ้นสูงตอบรับข่าวนั้น
"คนเล่นหุ้น N-PARK ตอนนั้น รู้กันดีว่าการดำเนินธุรกิจของ N-PARK มีความเสี่ยงสูง แต่ทุกคนมองแบบไม่สนใจ อยากเข้าไปเก็งกำไร สุดท้ายก็เจ็บตัว"
ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มที่มีการพูดถึงกันข้ามปี อย่าง PICNI หรือบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน),หุ้น EWC บริษัท อีสเทิร์นไวร์ จำกัด (มหาชน) หุ้น EMC ของบริษัทอีเอ็มซีของกลุ่มตระกูล "ลาภวิสุทธิสิน" ที่ต่างถูก คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์หรือ กลต.ประกาศว่าหุ้นทั้งกลุ่มมีราคาที่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
นอกจากกลุ่มลาภวิสุทธิสิน ที่มีชื่อในหุ้น PICNI, EWC และ EMC จนภายหลังส่งผลกระทบให้สุริยา ลาภวิสุทธิสิน ต้องหลุดตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ไป เพราะมีกระแสคนใกล้ชิดปั่นหุ้นดังกล่าวแล้ว ทั้ง 3 ตัวนี้ยังมีชื่อของ พายัพ ชินวัตร หรือ"เสี่ย พ." ขาใหญ่ในตลาดหุ้นเข้าไปถือหุ้นช่วงที่มีราคาสูงด้วยก่อนจะเทขายออกไป โดยทันทีที่พายัพได้เข้ามาถือหุ้นตัวนี้ ทำให้หุ้นมีราคาที่สูงขึ้นทันที 12.79%
"กลยุทธ์การทำราคาของหุ้นกลุ่มนี้ เน้นการนำเสนอข่าวสารใหม่ ๆ เช่นกันโดยเฉพาะได้เข้าไปเทคโอเวอร์บริษัทหลายบริษัท ทำให้ราคาหุ้นขึ้นสูงตามกระแสข่าว"
" พายัพ"เบื้องหลังหุ้นร้อน IEC-ASL
ขณะที่หุ้นร้อนปีนี้ เข้ามาสู่ยุคที่เน้นการเล่นหุ้นในกลุ่มรีแฮปโก้ หรือกลุ่มฟื้นฟูกิจการ โดยเข้าไปซื้อกิจการและมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นใหม่ มีการสร้างกระแสข่าว ก่อนจะปัดฝุ่นหุ้นกลุ่มนี้ให้กลับเข้ามาเทรดในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหุ้นร้อนที่น่าจับตาที่สุดในปีนี้คือหุ้น IEC ของ บริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน)
หุ้น IEC เวลานี้ถือเป็นเรื่องทอคออฟเดอะทาวน์เมื่อ ศาลปกครองมีคำสั่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิกถอนคำสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะ หักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน (Net Settlement) และ ห้ามสมาชิกให้ลูกค้ากู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของหลักทรัพย์(Margin Trading) ในหลักทรัพย์ IEC และให้หลักทรัพย์ IEC ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ได้โดยวิธีการตามปกตินับจากวันที่ศาลมีคำสั่งคือวันที่ 16 พ.ค. หลังจากที่ กลต.มีคำสั่งห้ามซื้อขายในลักษณะดังกล่าวมาตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา นับเป็นหุ้นร้อนรายแรกที่กล้าที่จะฟ้องศาลปกครองขอความเป็นธรรม และผลตัดสินของศาลปกครองก็เป็นบวกต่อหุ้น IEC เสียด้วย
โดยราคาหุ้น IEC ได้ขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดที่ราคา 4.78 ก่อนที่จะมาปิดอยู่ที่ราคา 4.56 บาท เพิ่มขึ้น 6.54% มูลค่าการซื้อขายรวม 880.42 ล้านบาท
โดยหุ้น IEC นี้มี "กลุ่มเตชะอุบล" เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งภายหลังกลุ่มนี้ได้เข้าไปถือหุ้น ASL หรือ บริษัท หลักทรัพย์แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) ทำให้หุ้น ASL ได้กลายเป็นหุ้นร้อนที่น่าจับตาอีกตัวหนึ่ง เพราะมีนักวิเคราะห์หลายรายมองว่าแม้ชนะชัย ลีนะบรรจง ผู้เข้าซื้อหุ้นรายใหญ่จะบอกว่าเป็นเพราะ ASL เป็นหุ้นดีสภาพคล่องสูงจึงเข้ามาลงทุน แต่หลายคนก็จับตาว่าการเข้ามาซื้อหุ้น ASL ครั้งนี้ของกลุ่มเตชะอุบล และคนใกล้ชิดเพียงเพราะต้องการเก็งกำไรราคาระยะสั้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากรายชื่อผู้ถือหุ้นของทั้ง IEC และ ASL แล้ว ปรากฏว่ามีชื่อของผู้ถือหุ้นเดียวกันหลายราย ตั้งแต่ ม.ล.ศานติดิศ ดิศกุล,วิกร ศรีวิกรม์,เฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม,เพ็ญพิมล สุรวุฒิพงศ์, ฉัตร์สุดา เบ็ญจนิรัตน์,อภิชญา บุรานนท์ ,โศรยา ชูวาณิชย์ ,ลักษณา จริยวัฒน์สกุล โดยมีข่าวว่าเข้าไปถือหุ้น ASL ตามคำชวนของ ชนะชัย ลีนะบรรจง เพื่อนร่วมก๊วน พายัพ ชินวัตร โดยข่าวลือที่กลบไม่อยู่คือหุ้นกลุ่มนี้มีชนะชัย และพายัพ เป็นแบ็คอัพ ซึ่งตัวที่น่าจับตาตัวต่อไปที่กลุ่มนี้กำลังวางแผนจะมีการทำราคาคือหุ้น TFD บริษัท ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ด้วย และอาจจะมีข่าวการเข้าไปร่วมทุนกับบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการก่อสร้างมานาน ซึ่งจะส่งผลให้หุ้น IEC ขยับขึ้นไปพร้อมๆ กับหุ้นบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง
"เรื่องนี้คงต้องจับตาดูกันว่าจะเป็นเรื่องการรวมทุนจริงหรือเป็นเพียงการปั้นข่าวเพื่อปั่นหุ้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกรายย่อยหรือแมงเม่าทั้งหลายต้องระมัดระวังในการเข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้ " แหล่งข่าว ระบุ
ดูความสามารถทำกำไรก่อนลงทุน
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวว่าผู้ลงทุนต้องดูให้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการเก็งกำไรที่เกิดขึ้นมานั้นมีผลต่อความสามารถทำกำไรของบริษัทได้จริงหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนผู้ถือหุ้นจะทำให้ผลประกอบการดีขึ้นเสมอไป และเท่าที่สังเกตผลของแต่ละบริษัทที่เข้าข่ายการปั่นหุ้นดังกล่าวก็ไม่ได้ดีจริง จึงไม่แนะนำให้เล่นหุ้นในกลุ่มนี้
"ประวัติศาสตร์มีให้เห็นอยู่แล้วจาก N-PARK และPICNI ที่มีจุดจบไม่สวย เป็นบทเรียนที่ต้องพึงสังวรว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เมื่อหุ้นมีกลิ่นไม่ดี ต้องตัดใจออกมา อย่าง PICNI บางคนยังมีความหวังว่าจะทะลุ 1 บาทได้ แต่ก็แนะนำว่าให้ตัดใจดีกว่า และการที่ PICNI บอกจะไปซื้อกิจการนั่นนี่ ก็ต้องถามว่าจริง ๆ แล้วรายได้จะกลับคืนมาจริงหรือเปล่า"
ตลาดซบรายย่อยติดดอยหุ้นพื้นฐาน
ด้านผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์แห่งหนึ่ง กล่าวว่า หุ้นเก็งกำไรในปีนี้ไม่คึกคักเท่าปีที่แล้ว เพราะตลาดซบเซามาก ทั้งค่าเงินบาทที่ผันผวน ราคาน้ำมันที่อาจแตะขึ้นสู่ระดับ 100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ราคาทองคำก็อาจไม่เปลี่ยนทิศทางลดลง ซึ่งเรื่องของค่าเงินและราคาสินค้าโภคภัณฑ์มาเกี่ยวข้องกับการเล่นหุ้นในปีนี้อย่างมาก ประกอบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น ก็ยังทำให้นักลงทุนถอนเอาเงินออกไปฝากธนาคารมากขึ้นดีกว่ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะเดียวกันปีนี้ผู้ลงทุนรายย่อยยังติดยอดดอยอยู่ในหุ้นพื้นฐานจำนวนมาก การที่จะมาเล่นในหุ้นเก็งกำไรก็น้อยลงไปด้วย
เชื่อมือกลต.-แนะรายย่อยดูสภาพคล่อง
ขณะที่ ถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย รองผู้จัดการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสินจำกัด กล่าวว่า หุ้นร้อนในสายตาตอนนี้มีอยู่เพียง 1 ตัวคือ หุ้น TPI บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) โดยหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด(มหาชน) ตามคำร้องของผู้บริหารแผน โดยศาลเห็นว่าผู้บริหารแผนได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการได้ครบถ้วนแล้ว โดยเฉพาะการชำระคืนหนี้ให้กับเจ้าหน้าที่และกิจการมีความมั่นคงมีกำไรที่ดีขึ้น จึงทำให้หุ้นตัวนี้มีความน่าสนใจขึ้นมา แต่ก็ต้องรอความชัดเจนเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ที่จะชัดเจนเดือนพฤศจิกายน
ส่วนหุ้นที่มีข่าวอย่าง IEC,APURE (บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน), MME (บริษัท ไมด้า-เมดดาลิสท์ เอ็นเธอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน),PICNI และ ASL ที่มีการพูดถึงกันมากขณะนี้ ว่าเป็นหุ้นร้อน ก็เป็นหุ้นที่ กลต.จับตามองอย่างใกล้ชิด และกลต.ชุดนี้เป็นคนเก่ง คอยดูตลอดและมีการตักเตือนทันทีที่พฤติกรรมของราคาขึ้นสูงผิดปกติ
"หุ้นพวกนี้แปลก ไม่มีมาร์จิน ไม่มีคนทำข้อมูลพื้นฐาน แล้วก็มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ ส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก ราคาไม่เกิน 5 บาท ให้ผลตอบแทนต่ำ"
ฉะนั้นผู้ลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยถ้าสนใจ ก็ให้ดูที่สภาพคล่องของหุ้นตัวนั้นเป็นหลัก ว่ามีหรือเปล่า และสภาพคล่องดีจนทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้จริงหรือไม่ ก่อนตัดสินใจลงทุน แต่ก็แนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มนี้
ชี้เล่น "กลุ่มรพ.-ลีสซิ่ง"ผลกระทบน้อย
อย่างไรก็ดีผู้บริหารจากบริษัทหลักทรัพย์ ระบุว่าภาพรวมตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับเงินทุนต่างชาติเป็นปัจจัยหลักในทิศทางดัชนี ซึ่งในปีที่แล้วเมื่อค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น ทำให้มีการเคลื่อนย้ายการลงทุนมาที่ประเทศไทยมากขึ้น และหุ้นกลุ่มที่ได้รับความนิยมจากต่างชาติมาตลอดคือกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร
แต่ในปีนี้คนหันมานิยมเล่นหุ้นกลุ่มรองมากขึ้น โดยเฉพาะจากการที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นดี ทำให้หุ้นกลุ่มส่งออก ท่องเที่ยว โรงแรม โรงพยาบาล และกลุ่มรายได้ให้เช่า ได้รับความนิยม ราคาหุ้นหลายตัวได้วิ่งเกินราคาปัจจัยพื้นฐาน จึงแนะนำว่าควรจะเล่นหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลและกลุ่มรายได้จากค่าเช่า เพราะไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรก็จะมีผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มนี้น้อย
|